ถอดความเรื่อง “คำแนะนำจากชายชราผู้มากประสบการณ์”

คำสอนเกี่ยวกับความทุกข์เหล่านี้มาจากเรื่อง คำแนะนำจากชายชราผู้มากประสบการณ์ ( Nyams-myong rgan-po'i 'bel-gtam) โดยปรมาจารย์ที่สำคัญมากท่านหนึ่งคือ กุงทัง รินโปเช (Gung-thang-tshang dKon-mchog bstan-pa'i sgron-me) (ปี ค.ศ. 1762–1823) ซึ่งประกอบด้วยนิทานคติธรรมมากมาย เป็นเรื่องราวในรูปแบบของบทร้อยกรองอิงพระคัมภีร์ ประเด็นสำคัญของคำสอนนั้นคือ การช่วยให้เราพัฒนาการสละทิ้งและความมุ่งมั่นที่จะเป็นอิสระ และโดยทั่วไปก็คือ การปูทางไปสู่โพธิจิตเพื่อที่จะบรรลุการรู้แจ้งเพื่อประโยชน์ของทุกคน

ขอนอบน้อมแด่พระพุทธองค์ผู้ละทิ้งเมล็ดพันธุ์แห่งการเกิดใหม่ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างควบคุมไม่ได้จากพลังแห่งกรรมและอารมณ์ที่รบกวนจิตใจ และผู้ซึ่งไม่ประสบกับความทุกข์ทรมานจากความแก่ชรา ความเจ็บไข้ได้ป่วย และความตาย
ท่ามกลางทุ่งราบแห่งสังสารวัฏอันกว้างใหญ่ โดดเดี่ยว แห้งแล้ง และห่างไกล มีชายชราผู้หนึ่งที่ได้รับการมาเยี่ยมเยียนจากเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งมีความภูมิใจในความเยาว์วัยและสุขภาพของเขา นี่คือสิ่งที่พวกเขาได้พูดคุยกัน
“สวัสดี ท่านผู้เฒ่า ทำไมท่านทำ ดู และพูดแตกต่างจากคนอื่นล่ะ”
ชายชราตอบว่า “ถ้าเจ้าบอกว่า ข้าทำ เดิน เคลื่อนไหว และพูดแตกต่างจากคนอื่น ก็จงอย่ารู้สึกว่าเจ้ากำลังโบยบินอยู่เหนือท้องฟ้าเบื้องบน จงกลับลงมายังพื้นดินเดียวกันกับข้า แล้วฟังคำพูดของข้า”

เด็กหนุ่มสาวบางคนรู้สึกว่าวัยชรามีไว้สำหรับคนแก่เท่านั้นและมันก็จะไม่มีวันมาถึงพวกเขา พวกเขาเย่อหยิ่งทะนงตนและไม่มีความอดทนที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนแก่

ชายชรากล่าวต่อว่า “เมื่อ 2-3 ปีก่อน ข้าแข็งแรงกว่านี้ หล่อกว่านี้มาก แล้วก็กระฉับกระเฉงกว่าเจ้ามาก ข้าไม่ได้เกิดมาอย่างที่ข้าเป็นตอนนี้ ถ้าข้าวิ่ง ข้าก็ไล่ตามม้าบินได้ทัน”

คนแก่ส่วนใหญ่พูดแบบนี้ ปัจจุบันไม่เคยดีเท่าในอดีต

“ข้าสามารถจับจามรีในดินแดนคนเร่ร่อนได้ด้วยมือเปล่าด้วยซ้ำหากข้ายังจับอะไรได้นะ ตอนนั้น ร่างกายของข้ายืดหยุ่นมาก ข้าสามารถเคลื่อนไหวได้เหมือนนกในท้องฟ้า ร่างกายของข้าแข็งแรงสมบูรณ์มาก ข้าดูเหมือนเทพบุตรหนุ่ม ข้าสวมใส่เสื้อผ้าสีสดใสและเครื่องประดับมากมายที่ทำด้วยทองและเงิน กินอาหารและขนมหวานแสนอร่อยมากมาย และขี่ม้าชั้นดีที่ทรงพลัง ข้าแทบไม่เคยนั่งคนเดียวโดยปราศจากการเล่น การหัวเราะ และการสนุกกับตัวเองเลย แทบจะไม่มีความสุขใดเลยที่ข้าไม่เคยสัมผัส”
“ในตอนนั้น ข้าไม่เคยนึกถึงความไม่เที่ยงของชีวิตหรือความตายของข้าเลย  และข้าก็ไม่คาดหวังว่าจะต้องผ่านความทุกข์ในวัยชราเหมือนตอนนี้ด้วย”

ครั้งหนึ่ง เคยมีคนหนุ่มคนหนึ่งในภูมิภาคที่อาตมาเคยอาศัยอยู่ เขาดำเนินชีวิตที่หรูหราและดื่มด่ำกับความสุขอยู่เสมอ เขาค่อย ๆ แก่ตัวลง ร่างกายของเขาโค้งงอ รายได้ของเขาลดลง เขาพูดกับเพื่อน ๆ ของเขาว่า “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าความแก่ชราจะมาถึงอย่างรวดเร็วเช่นนี้”

“การมีชีวิตอยู่ด้วยความใจลอยถึงการมีส่วนร่วมกับเพื่อน ปาร์ตี้ และช่วงเวลาที่ดี ๆ ความแก่ก็จะย่องเข้ามา แล้วมันก็จะเอาชนะเจ้าท่ามกลางเสียงหัวเราะของเจ้า”

เกเช กามาปะ (Geshe Kamapa) กล่าวว่า “เราควรจะรู้สึกขอบคุณที่ความแก่ชรามันมาอย่างช้า ๆ ถ้ามันมาพร้อมกันทันที ก็คงจะทนไม่ได้ ถ้าตอนอายุสามสิบ เราเข้านอนและตื่นมาเป็นคนอายุแปดสิบ เราก็จะทนเห็นตัวเราเองไม่ได้ เราไม่เข้าใจความชราของเราเอง การที่เราแก่ตัวลงนั้นเป็นเรื่องลึกลับสำหรับเรา เมื่อจู่ ๆ เราก็ตระหนักถึงความแก่ชราของเรา มันจะใช้เวลาสักพักหนึ่งจึงจะยอมรับมันได้ จากนั้น มันก็สายเกินไปแล้ว ถึงแม้จะพูดกันว่า การปฏิบัติธรรมสักสองสามชั่วโมงก่อนตายจะเป็นประโยชน์ แต่การจะเข้าร่วมในตันตระได้ เราจำเป็นต้องมีร่างกายที่แข็งแรง ดังนั้น มันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะเริ่มฝึกตันตระตั้งแต่ยังหนุ่มอยู่”

“ตอนที่เราแก่มาก เราจะไม่ชอบตัวเราเองเวลาที่เราส่องกระจก ในขณะนั้น ร่างกายและจิตใจของเราจะอ่อนแอ ร่างกายของเราจะเริ่มเสื่อมตั้งแต่หัวจรดเท้า หัวของเราจะก้มลงโค้งงอราวกับจะงอยปากคนโทที่โค้งงอที่ใช้ในพิธีกรรมการรับเข้าเสมอ
“ผมสีขาวบนหัวของข้า ไม่มีสีดำเหลืออยู่เลย มันไม่ใช่สัญญาณของการทำให้บริสุทธิ์ มันคือลูกศรแห่งความเย็นยะเยือกจากปากของพญายมราชที่ตกลงมาบนหัวของข้า ริ้วรอยบนหน้าผากของข้าก็ไม่ใช่รอยย่นของทารกตัวอ้วนที่กำลังดื่มนมจากแม่ของตน มันเป็นการนับจำนวนของผู้ส่งสารของพญายมราชว่าข้ามีชีวิตอยู่กี่ปีแล้ว เวลาที่ข้าหรี่ตาลง ก็ไม่ใช่เพราะควันเข้าตาข้า แต่มันเป็นสัญญาณของการทำอะไรไม่ถูกบวกกับความเสื่อมของพลังประสาทสัมผัสของข้า เมื่อข้าพยายามใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะได้ยินด้วยการเอามือป้องที่ข้างหูของข้า มันก็ไม่ใช่เพราะข้ากำลังสื่อสารอย่างลับ ๆ แต่มันเป็นสัญญาณของการเสื่อมของการได้ยินของข้าต่างหาก”
เมื่อข้าปล่อยให้น้ำลายไหลและมีน้ำมูกออกมาจากจมูกของข้า มันก็ไม่ใช่เครื่องประดับมุกบนใบหน้าของข้า มันเป็นสัญญาณของการละลายของน้ำแข็งแห่งความกระปรี้กระเปร่าของวัยหนุ่มสาวด้วยแสงแดดแห่งวัยชรา การที่ข้าฟันร่วงก็ไม่ใช่สัญญาณของการเปลี่ยนฟันชุดใหม่เหมือนเด็กเล็ก ๆ แต่มันเป็นสัญญาณของการเสื่อมสภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการกินอาหารของข้าซึ่งพญายมราชจะเอาไป เวลาที่ข้าพูดแล้วมีน้ำลายออกมาเยอะ มันก็ไม่เหมือนพรมน้ำบนพื้นดินเพื่อทำความสะอาดพื้นดินนั้น มันเป็นสัญญาณของการสิ้นสุดของคำพูดทั้งหมดที่ข้าจะพูด เมื่อข้าพูดไม่ต่อเนื่องและสะดุด นั่นไม่ใช่เพราะข้าพูดภาษาต่างประเทศแปลก ๆ หรอก แต่มันเป็นสัญญาณว่าลิ้นของข้าเหนื่อยกับการพูดคุยไร้สาระมาตลอดชีวิตแล้วต่างหาก”
“เมื่อรูปร่างหน้าตาของข้าเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด ก็ไม่ใช่ว่าเพราะว่าข้ากำลังพยายามซ่อนตัวอยู่หลังหน้ากากลิง แต่มันเป็นสัญญาณของความเสื่อมของร่างกายทั้งหมดที่ข้ายืมมา เวลาที่ข้าส่ายหัวมาก ๆ ก็ไม่ใช่ว่าข้าไม่เห็นด้วยกับเจ้า แต่มันเป็นสัญญาณของพลังอันท่วมท้นของไม้เท้าของพญายมราชที่ตีหัวของข้า เมื่อข้าเดินก้มตัวลง ก็ไม่ใช่ว่าข้ากำลังพยายามหาเข็มที่ข้าทำหาย แต่มันเป็นการบ่งบอกที่ชัดเจนถึงความเสื่อมของธาตุดินในร่างกายของข้าต่างหาก”
“เมื่อข้าลุกขึ้นยืนด้วยมือและเข่าของข้า ข้าก็ไม่ได้กำลังเลียนแบบสัตว์สี่ขา แต่มันเป็นเพราะเท้าของข้ารองรับการพยุงตัวของข้าได้ไม่ดีพออีกต่อไป เวลาที่ข้านั่งลง มันเหมือนกำลังทำถุงอะไรบางอย่างตก ไม่ใช่ว่าข้าโกรธเพื่อนข้า แต่มันคือการสูญเสียการควบคุมร่างกายของข้า”
“ตอนที่ข้าเดินช้า ๆ ไม่ใช่ว่าข้าจะพยายามเดินเหมือนรัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ แต่เป็นเพราะข้าสูญเสียความสมดุลในร่างกายของข้าไปหมดแล้ว เวลาที่มือข้าสั่น ก็ไม่ใช่ว่าข้ากำลังโบกมือด้วยความโลภที่จะเอาอะไรบางอย่าง แต่มันเป็นสัญญาณของความกลัวต่อทุกสิ่งที่พญายมราชกำลังจะพรากไปจากข้า ตอนที่ข้ากินและดื่มได้เพียงเล็กน้อย ก็ไม่ใช่เพราะข้าตระหนี่หรือขี้เหนียว แต่มันเป็นสัญญาณของความเสื่อมของความแสบร้อนในกระเพาะอาหารที่สะดือข้า เวลาที่ข้าใส่เสื้อผ้าบาง ๆ มันก็ไม่ใช่การพยายามเลียนแบบนักกีฬา แต่มันเป็นเพราะความอ่อนแอของร่างกายของข้าที่ทำให้เสื้อผ้าเป็นภาระในการสวมใส่
“เวลาที่ข้าหายใจลำบากและหายใจขัด ก็ไม่ใช่ว่าข้ากำลังรักษาใครบางคนด้วยการเป่ามนต์ใส่ แต่มันเป็นสัญญาณของความอ่อนแอและความอ่อนล้าของพลังงานต่าง ๆ ในร่างกายข้า เวลาที่ข้าทำอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ และเพียงไม่กี่อย่าง ก็ไม่ได้เกิดจากการจงใจควบคุมกิจกรรมต่าง ๆ ของข้า แต่มันเป็นเพราะข้อจำกัดของสิ่งที่คนแก่จะสามารถทำได้ เวลาที่ข้าหลงลืมมาก ๆ มันก็ไม่ใช่เพราะข้าคิดว่าคนอื่นไม่สำคัญและดูถูกพวกเขา แต่มันเป็นสัญญาณของการเสื่อมโทรมของการมีสติตระหนักรู้แห่งความทรงจำของข้า
“โอ้ พ่อหนุ่ม อย่าล้อเลียนและหัวเราะเยาะข้าเลย สิ่งที่ข้าประสบตอนนี้ไม่ใช่จะเกิดขึ้นแต่เฉพาะกับตัวข้า แต่ทุกคนจะประสบกับสิ่งนี้ เจ้าจงรอดู ในอีกสามปี จะมีผู้ส่งสารสองสามคนแรกแห่งวัยชราจะมาหาคุณ เจ้าอาจจะไม่เชื่อหรือไม่ชอบสิ่งที่ข้าพูด แต่เจ้าจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์ ในช่วงเวลาแห่งความเสื่อมทั้งห้าประการนี้ เจ้าจะโชคดีที่จะมีอายุยืนอย่างข้า แต่แม้ว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่นานเช่นเดียวกับข้า แต่เจ้าจะไม่สามารถพูดได้มากเท่ากับที่ข้าพูดได้”
ชายหนุ่มตอบกลับว่า “แทนที่จะอยู่ได้นานเหมือนอย่างท่าน และกลายเป็นคนที่น่าเกลียดและถูกเมินอย่างท่าน แล้วก็ถูกจัดให้อยู่ในระดับเดียวกับสุนัข ถ้างั้น ตายเสียจะดีกว่า”
ชายชราหัวเราะ “พ่อหนุ่ม เจ้าช่างเบาปัญญาและโง่เขลามากที่ปรารถนาจะมีอายุยืนและมีความสุขโดยไม่แก่ชรา ความตายอาจฟังดูง่าย แต่มันก็ไม่ง่ายอย่างนั้น การที่จะตายอย่างสงบและเป็นสุขได้นั้น เจ้าจำต้องเป็นคนที่ไม่ยอมรับเครื่องเซ่นไหว้โดยมิชอบหรือผิดศีลธรรมของกรรมดี 10 ประการ และได้สะสมการฟังธรรม การพิจารณาใคร่ครวญ และการทำสมาธิไว้มากแล้ว จากนั้น ความตายก็จะเป็นเรื่องง่าย
“แต่ข้าไม่ได้รู้สึกแบบนี้ ข้าไม่มีความมั่นใจว่าข้าได้ทำอะไรที่สร้างสรรค์ ข้ากลัวความตายและรู้สึกขอบคุณในแต่ละวันที่ข้าสามารถมีชีวิตอยู่ได้ ความปรารถนาอย่างแรงกล้าของข้าคือการมีชีวิตอยู่ในแต่ละวัน”
ชายหนุ่มเปลี่ยนใจ แล้วพูดว่า “ท่านผู้เฒ่า ทุกสิ่งที่ท่านพูดเป็นความจริง สิ่งที่คนอื่นบอกข้าพเจ้าเกี่ยวกับความทุกข์ในวัยชรานั้นสอดคล้องกับสิ่งที่ข้าพเจ้าเห็นในตัวท่าน การอธิบายถึงวัยชราของท่านแก่ข้าพเจ้าเป็นประโยชน์ต่อจิตใจข้าพเจ้าอย่างมาก ข้าพเจ้ารู้สึกทึ่งในความทุกข์ของวัยชรา โอ้ ชายชราผู้เฉลียวฉลาด ถ้าท่านเคยได้ยินวิธีการใด ๆ ที่จะหลีกหนีจากวัยชราได้ ก็ได้โปรดอย่าเก็บไว้เป็นความลับเลย ขอแบ่งปันกับข้าพเจ้าและบอกความจริงกับข้าพเจ้าด้วยเถิด”
ชายชรากล่าวอย่างพอใจว่า “มีวิธีหนึ่งอย่างแน่นอน ถ้าเจ้ารู้จักมัน ก็ทำตามได้ง่าย ๆ ด้วยความพยายามเพียงเล็กน้อย เราก็สามารถหลุดพ้นจากความทุกข์นี้ได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าทุกคนที่เกิดมาจะต้องตาย แต่น้อยคนนักที่จะตายหลังจากแก่เฒ่า หลายคนตายตั้งแต่ยังเด็กโดยไม่มีโอกาสเข้าสู่วัยชรา วิธีการต่าง ๆ อยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้า มีหลายวิธีในการบรรลุการหลุดพ้นและการรู้แจ้ง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่ต้องเกิดใหม่ ไม่แก่ ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย หรือตาย แต่เราไม่ได้ฝึกฝนมัน”

ครั้งหนึ่ง ในอารามหลังหนึ่ง มีลามะที่สร้างตนเป็นลามะด้วยตัวเองอยู่องค์หนึ่ง ท่านเป็นสมาชิกรุ่นน้องในอารามและพระส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ใส่ใจท่าน พวกเขาได้ประชุมเพื่อหารือกันเกี่ยวกับอนาคตของอารามหลังนี้ ท่านบอกว่าให้เตรียมเชือกและผ้าปูที่นอนเพื่อมัดศพ ทุกคนบอกว่านี่เป็นลางไม่ดีและโกรธท่าน จากนั้น พวกเขาก็หารือกันว่าทุกคนควรทำอย่างไรเพื่อช่วยอารามนี้ ลามะองค์นี้กล่าวว่าให้ทำสมาธิพิจารณาใคร่ครวญถึงความไม่เที่ยง จากคำกล่าวนี้ของท่าน ท่านได้ให้คำสอนที่ยิ่งใหญ่แก่พวกเขา ต่อมาดาไลลามะหลายองค์ต่างก็ยกย่องท่าน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต เราต้องเตรียมพร้อมสำหรับความตาย

“ทุกคนต้องการความเป็นอมตะและวิธีการที่จะบรรลุถึงความเป็นอมตะนั้น แต่การจะเกิดและจะไม่ตายนั้นมันเป็นไปไม่ได้ แม้แต่พระอรหันต์นับพันรูป ซึ่งรวมทั้งพระศากยมุนีพุทธเจ้าก็ยังล่วงลับไป ส่วนพระโพธิสัตว์และปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ต่าง ๆ ในอดีต ก็เหลือเพียงชื่อของพวกเขาเท่านั้น เช่นเดียวกับที่เห็นได้ชัดในประวัติศาสตร์ของโลก บุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ทั้งหมดได้เสียชีวิตลงและเหลือเพียงแต่ซากเท่านั้น ดังนั้น  เราต้องไม่ลืมความเป็นจริงของความตายที่กำลังจะเกิดขึ้นของเรา แม้แต่ปรมาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ในปัจจุบันก็จะล่วงลับไป เด็ก ๆ ที่เกิดวันนี้ก็จะตายภายในร้อยปี ฉะนั้นแล้ว พ่อหนุ่มจะหวังว่าตัวเองคนเดียวจะมีชีวิตอยู่ตลอดไปได้อย่างไร? ดังนั้น จึงขอแนะนำให้เตรียมตัวให้พร้อมในทางศาสนาสำหรับความตายของตัวเองด้วย
“อายุยืนยาวไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงินหรือได้มาด้วยความสบายกายได้ ถ้าเจ้ามีความเชื่อมั่นในศาสนาและรู้ว่าตัวเองต้องการอะไรในชีวิต ยิ่งเจ้าอายุมากขึ้นเท่าไหร่ เจ้าก็จะมีความสุขและความเยาว์วัยมากขึ้นเท่านั้น ถ้าเจ้าชอบความสบายทางกายอย่างมากแต่มีการดำเนินชีวิตที่ว่างเปล่า ยิ่งเจ้าอายุมากขึ้นเท่าไหร่ เจ้าก็จะยิ่งมีความทุกข์มากขึ้นเท่านั้น เจ้าจะต้องเดินทางในฐานะนักท่องเที่ยวเพื่อหันเหจิตใจของเจ้าจากความกังวลเรื่องความตาย ในทางกลับกัน แม้ว่าเจ้าจะมีความเชื่อมั่นทางศาสนาเพียงเล็กน้อย ยิ่งเจ้าเข้าใกล้ความตายมากเท่าไร เจ้าก็ยิ่งจะรู้สึกเหมือนเป็นลูกชายที่กลับบ้านมาอย่างมีความสุข เจ้าไม่ได้ถูกขับไล่ด้วยความตาย แต่ตั้งตารอที่จะมีชีวิตที่มีความสุขต่อไป”

ครั้งหนึ่งปรมาจารย์ทางศาสนาผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่า “เพราะว่าข้าพเจ้ามีความมั่นใจในการเกิดของข้าพเจ้าในชาติหน้า ข้าพเจ้าก็จะไม่มีความกังวล ความตายสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ และข้าพเจ้าก็ยินดีต้อนรับมัน”

“ในเมื่อความทุกข์จากความตายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เราจึงต้องทำอะไรบางอย่างกับมัน เราไม่สามารถเพียงแค่นั่งลงและรู้สึกหดหู่ใจเท่านั้น ในฐานะที่เป็นมนุษย์ เรามีปัญญาที่จะลองทำหลาย ๆ วิธี พ่อหนุ่ม แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่สามารถให้คำสอนที่ชัดเจนกว่านี้แก่เจ้าได้ ข้าพูดจากใจของข้า แม้ว่านี่จะเป็นคำแนะนำจากใจจริงของข้า แต่อย่าพึ่งพาคำพูดของข้าเพียงอย่างเดียว วิเคราะห์มันด้วยตัวเจ้าเอง ฝึกปฏิบัติเกี่ยวกับความไม่เที่ยงด้วยตัวเอง มีสุภาษิตที่ว่า 'ขอความคิดเห็นจากคนอื่น แต่ต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง' ถ้าเจ้าปล่อยให้หลายคนตัดสินใจแทนเจ้า คนหลายคนก็จะให้คำแนะนำที่ต่างกันออกไป”
ชายหนุ่มกล่าวว่า “สิ่งที่ท่านพูดเป็นความจริงและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง แต่ข้าพเจ้าก็ยังไม่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ในอีก 2-3 ปี ข้างหน้า ข้าพเจ้ามีงานอื่นที่ต้องทำ ข้าพเจ้ามีทรัพย์สมบัติมากมาย ร่ำรวยมั่งคั่ง ฯลฯ ข้าพเจ้าต้องทำธุรกิจมากมายและดูแลทรัพย์สินของข้าพเจ้า หลังจากนั้นอีก 2-3 ปี ข้าพเจ้าต้องกลับมาพบท่านอีกครั้ง แล้วข้าพเจ้าก็จะฝึกปฏิบัติ”
ชายชราเปลี่ยนเป็นไม่มีความสุขอย่างมากและพูดว่า “ทุกสิ่งที่เจ้าบอกข้าตอนนี้กลายเป็นคำพูดที่ว่างเปล่าและไร้ความหมาย ข้าเคยทำในสิ่งเดียวกัน ความปรารถนาที่จะทำบางสิ่งบางอย่างที่มีความหมายหลังจากผ่านไป 2-3 ปี แต่ข้าก็ไม่เคยทำอะไรเลย แล้วตอนนี้ข้าก็แก่แล้ว ข้ารู้ว่าสิ่งที่เจ้าพูดมันไร้ประโยชน์แค่ไหน สิ่งที่ต้องทำในอีก 2-3 ปีข้างหน้าจะไม่มีวันสิ้นสุด เจ้าจะเลื่อนมันออกไปเสมอ สิ่งที่ต้องทำในอีก 2-3 ปีข้างหน้าก็เหมือนเคราของชายชรา ถ้าเจ้าโกนวันนี้ เจ้าก็จะเติบโตมากขึ้นในวันพรุ่งนี้ หลังจากผัดวันประกันพรุ่งจนถึงพรุ่งนี้แล้วก็พรุ่งนี้ ไม่นานเจ้าจะพบว่าชีวิตของเจ้าจบลงแล้ว การผัดวันประกันพรุ่งในการปฏิบัติธรรมนี้ทำให้ทุกคนหลงกล ข้าไม่มั่นใจในตัวเจ้าว่าเจ้าจะปฏิบัติธรรม ดังนั้น สิ่งที่เราพูดคุยกันจึงเป็นการเสียเปล่าทั้งหมด จงกลับไปที่บ้านของเจ้าและทำสิ่งที่เจ้าต้องการและปล่อยให้ข้าท่องมณี (มนต์) เถอะ”
ชายหนุ่มประหลาดใจมากและรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย เขาพูดว่า “ท่านคิดยังไงถึงพูดแบบนี้กับข้าพเจ้า? บอกข้าพเจ้าหน่อยได้ไหมว่าจะทำให้มีทรัพย์สินข้าวของเงินทองในชาตินี้สำเร็จได้เร็วที่สุดแค่ไหน?”
ชายชราหัวเราะ “เจ้าถามคำถามเหล่านี้กับข้า ถ้างั้นข้าขอเดาว่าข้าต้องตอบว่ามันจะใช้เวลานานเท่าไหร่จึงจะทำได้สำเร็จ ทางทิศใต้มีพญายมราชอาศัยอยู่ผู้ซึ่งไม่สนใจเลยว่าเจ้าทำงานเสร็จแล้วหรือไม่ ท่านทำทุกอย่างที่ท่านต้องการ ถ้าเจ้าสามารถมีความสัมพันธ์ฉันมิตรกับท่านและได้รับอนุญาตจากท่านให้ทำบางสิ่งบางอย่างในชีวิต ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว เจ้าก็สบายใจได้ มิฉะนั้น เจ้าก็จะไม่มีวันรู้สึกผ่อนคลายได้เลย ผู้คนเสียชีวิตระหว่างดื่มชา ขณะที่อาหารอยู่บนโต๊ะ ขณะเดิน ก่อนที่พวกเขาได้สูดดมกลิ่นด้วยซ้ำ
“สิ่งนี้เกิดขึ้นกับทุกคน แม้แต่ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่หลายคน คำสอนหลายอย่างของพวกเขาไม่สมบูรณ์ เพราะพวกเขาตายก่อนจะเขียนเสร็จ ดังนั้น เวลาที่พญายมราชมาหาคุณ คุณก็จะไม่สามารถพูดได้ว่า 'ข้ามีทรัพย์สินที่ดินขนาดใหญ่และมีงานต้องทำอีกมากมาย' เจ้าไม่สามารถอวดอะไรกับท่านได้ เจ้าต้องทิ้งทุกอย่าง ในแง่นี้ เราไม่มีอำนาจโดยสิ้นเชิง เราไม่สามารถกำหนดอายุขัยได้ ดังนั้น ถ้าเจ้าสามารถทำอะไรได้ ก็ให้เริ่มฝึกปฏิบัติตอนนี้ นั่นจะมีความหมาย มิฉะนั้น ทรัพย์สินที่ดินของเจ้าเพียงอย่างเดียวก็ไร้ความหมาย แต่ทุกวันนี้มีคนไม่กี่คนที่พูดความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อเจ้า แต่ที่หายากยิ่งกว่าคือคนที่รับฟังคำแนะนำที่จริงใจ”
ชายหนุ่มรู้สึกสะเทือนใจอย่างมาก ความเคารพอย่างสูงต่อชายชราได้ก่อตัวขึ้น เขาถอยออกมาสองสามก้าวและก้มกราบชายชรา เขากล่าวว่า “ไม่มีลามะองค์อื่นที่รายล้อมด้วยธงสีทอง เกเช หรือโยคีใดที่มีคำสอนที่ลึกซึ้งกว่าที่ท่านพูด ท่านมีรูปร่างลักษณะเหมือนชายชราธรรมดา แต่จริง ๆ แล้ว ท่านเป็นเพื่อนทางศาสนาที่ดีมาก ข้าพเจ้าขอถวายคำด้วยเกียรติของข้าพเจ้าเพื่อฝึกปฏิบัติในทุกสิ่งที่ท่านพูดอย่างสุดความสามารถของข้าพเจ้า และในอนาคต โปรดให้คำสอนเพิ่มเติมแก่ข้าพเจ้าด้วย”
ชายชรายินดีและให้การยอมรับ ชายชราพูดว่า “ข้าไม่รู้อะไรมาก แต่ข้าก็มีประสบการณ์มากมาย ข้าสามารถสอนเจ้าจากตรงนั้น สิ่งที่ยากที่สุดคือ การเริ่มต้นและสร้างตัวเจ้าเองให้อยู่ในพระธรรม การเริ่มปฏิบัติธรรมเมื่ออายุมากแล้วนั้นยากกว่า ดังนั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะเริ่มต้นตั้งแต่อายุยังน้อย”
“เมื่ออายุยังน้อย ความจำของเจ้าจะสดใหม่ เจ้ามีสติปัญญาที่เต็มไปด้วยพลังและความคิดสร้างสรรค์และความแข็งแกร่งทางกายภาพเพื่อสร้างพลังบวกโดยการหมอบกราบ ในแง่ของตันตระ ความแข็งแกร่งและพละกำลังของช่องทางพลังงานของเจ้านั้นจะดีมากเมื่ออายุยังน้อย หากในวัยเยาว์ เจ้าสามารถฝ่าฟันอุปสรรคของความโลภและความยึดติดกับทรัพย์สินทางวัตถุและมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางศาสนาได้ ก็จะเป็นสิ่งที่มีค่ามาก เมื่อเจ้ายอมรับพระธรรม เข้าใจประเด็นสำคัญและเข้าถึงหัวใจของมันแล้ว ทุกสิ่งที่เจ้าทำ พูด และคิดก็จะเป็นพระธรรม”

มิลาเรปะ (Milarepa) กับรา ล็อทซาวา (Ra Lotsawa) ก็พูดเหมือนกันว่า “เวลาที่ข้าพเจ้ากิน เดิน นั่ง หรือนอน มันคือการปฏิบัติธรรม”

“ไม่มีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดในพระธรรม ดังนั้น พยายามอย่ามีความคิดหรือจิตใจที่แปรเปลี่ยนมากเกินไป จงเริ่มต้นตอนนี้และรักษาความสนใจในพระธรรม อย่าเปลี่ยนใจทุกนาที จากนี้ไป จงอุทิศชีวิตของเจ้า ทั้งกาย วาจา และใจ สู่การปฏิบัติธรรม”
ตอนนี้ ชายชราบอกชายหนุ่มถึงสิ่งที่เป็นองค์ประกอบของพระธรรม นั่นคือ “ก่อนอื่น จงหาครูผู้สอนศาสนาที่มีคุณสมบัติเหมาะสมและอุทิศตัวเจ้าเองต่อเขาอย่างเหมาะสมด้วยความคิดและการกระทำของเจ้า เจ้าจะสามารถทำประโยชน์แก่ผู้อื่นได้มากเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับการหาครูผู้สอนศาสนาที่เหมาะสมและความสัมพันธ์ที่มุ่งมั่นสุดหัวใจของเจ้ากับครูนั้น”

พระอติศะได้เน้นย้ำถึงประเด็นนี้ ท่านมักจะเล่าว่าท่านมีความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยมกับครูทั้ง 155 คนของท่านเท่า ๆ กัน

“จากนั้น เจ้าต้องยินยอมทำตามคำพูดที่ให้ไว้ด้วยเกียรติและคำสาบานเพื่อฝึกปฏิบัติการกระทำเชิงสร้างสรรค์ 10 ประการ ปกป้องมันเหมือนที่เจ้าทำกับดวงตาของเจ้า ตัดความยึดติดในชีวิตนี้ทิ้งไป เหมือนกับช้างป่าที่หักโซ่ตรวน แล้วสะสมการฟัง การพิจารณาใคร่ครวญ และการทำสมาธิ แล้วทำสามสิ่งนี้ด้วยกัน จงสนับสนุนสิ่งทั้งหมดนี้ด้วยการฝึกปฏิบัติทำสมาธิเบื้องต้น 7 ขั้นตอน นี่เป็นแนวทางในการสร้างพลังบวก สะสมบุญ เมื่อทำอย่างนี้แล้ว ความเป็นพระพุทธเจ้าก็อยู่แค่เพียงปลายนิ้วของเจ้า”

สมเด็จองค์ดาไลลามะองค์ที่ 5 กล่าวว่า ถ้าผู้สอนมีคุณสมบัติเหมาะสมแนะนำลูกศิษย์ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ความเป็นพระพุทธเจ้าก็จะสามารถหล่อหลอมได้ด้วยมือตนเอง มิลาเรปะยังกล่าวอีกว่า ถ้าท่านมีผู้สอนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมและลูกศิษย์ก็มีคุณสมบัติเหมาะสมซึ่งปฏิบัติตามคำสอนอันมีคุณสมบัติเหมาะสมแล้ว ความเป็นพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้อยู่ภายนอกตัวท่าน แต่มันอยู่ภายใน อย่างไรก็ตาม เราต้องเน้นย้ำอยู่เสมอว่าผู้สอนต้องมีคุณสมบัติเหมาะสม 

“นี่คือความสุข นี่คือความปีติยินดี ลูกชายที่รักเอ๋ย ถ้าเจ้าปฏิบัติอย่างนี้ เจ้าก็จะสมหวังตามที่เจ้าปรารถนาทุกประการ”

คำสอนเหล่านี้มีประโยชน์มากในการฝึกฝนจิตใจ มันทำให้จิตใจที่แข็งกระด้างอ่อนลง สุภาษิตหนึ่งกล่าวว่า “อย่าเป็นเหมือนถุงหนังที่มีเนยอยู่ อย่าเป็นเหมือนก้อนกรวดในลำธาร” กระเป๋าหนังจะไม่นุ่มไม่ว่าจะมีเนยอยู่ข้างในมากแค่ไหนก็ตาม ไม่ว่าหินจะอยู่ในลำธารนานแค่ไหน มันก็ไม่อ่อนเช่นกัน

นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา ชายหนุ่มก็ได้ปฏิบัติธรรมอันบริสุทธิ์ไม่ปะปนกับโลกธรรม 8 ที่เป็นความรู้สึกแบบเด็ก ๆ อีกต่อไป

เราจำเป็นต้องพยายามทำเช่นเดียวกัน ยิ่งเราได้ยินคำสอนมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งต้องฝึกฝนและพัฒนาตนเองผ่านมันมากขึ้นเท่านั้น และอย่าเป็นเหมือนก้อนกรวดในลำธารที่จะไม่เคยมีวันอ่อนเลย

ชายชรากล่าวว่า “ข้าเคยได้ยินคำสอนเหล่านี้จากครูผู้สอนศาสนาของข้า และสิ่งเหล่านี้ก็มาจากประสบการณ์ของข้าเองด้วย ขอให้สิ่งนี้เป็นประโยชน์แก่สรรพสัตว์โดยไร้ขอบเขตเพื่อประโยชน์แห่งความสุขของพวกเขาด้วยเทอญ”

ผู้เขียนจบท้ายว่า

แม้อาตมาจะปฏิบัติมาน้อยและขาดประสบการณ์ในพระธรรม แต่เนื่องจากความหลากหลายในอุปนิสัยของสัตว์โลก บางทีคำสอนเหล่านี้อาจเป็นประโยชน์แก่บางคนได้ ด้วยความหวังที่จะเป็นประโยชน์ต่อจิตใจของสัตว์โลก อาตมาได้เขียนสิ่งนี้ด้วยความจริงใจและแรงจูงใจที่บริสุทธิ์ คำสอนเรื่องความไม่เที่ยงเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องราวที่น่าสนใจที่อาตมาคิดอยากจะเล่าเท่านั้น แต่มันอ้างอิงมาจาก กวีนิพนธ์ 400 บท (The Four Hundred Stanzas) โดย อารยเทวะ (Aryadeva)
Top