การเข้าถึงความสุขทางใจด้วยหลักจริยธรรม

Studybuddhism universal values 01

วันนี้อาตมาจะมาพูดเรื่องเราจะมีความสุขในโลกนี้ด้วยแนวทางคุณธรรมทางโลกได้อย่างไร อาตมายินดีที่ได้มีโอกาสมาพูดต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก ณ ที่นี้ อาตมามีเพื่อนคนหนึ่ง ชื่อ เดวิด ลิฟวิ่งสโตน เดวิดเป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียง เขาได้เสียชีวิตลงไปแล้ว  เดวิดเคยพูดกับอาตมาไว้ว่า เมื่อบุคคลใดมีใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น ได้มาพบกับคนอื่นๆ ก็พลอยให้คนเหล่านั้นได้มีใจที่อบอุ่นไปด้วย เดวิดเล่าว่าเมื่อเขาได้มาพบอาตมา เขาก็รู้สึกเบิกบานใจไปด้วย และนักศึกษาที่เดวิดพามาก็รู้สึกเช่นเดียวกัน เดวิดบอกว่ามีบุคคลสองคนเท่านั้นที่ช่วยให้ใจเขาเบิกบาน คือ อาตมาและภรรยาของเขา  อาตมาได้พบปะกับผู้คนทั้งหลายในที่นี้ และที่ต่างๆของการเดินทาง คนเหล่านั้นได้มอบความอบอุ่นที่จริงใจแก่อาตมา อาตมาซาบซึ้งใจ และขอขอบคุณเป็นอย่างมาก

“ฆราวาสนิยม” หมายถึงอะไร อาตมาใช้คำนี้ในความหมายวัฒนธรรมจารีตแบบอินเดีย แต่เพื่อนมุสลิมและคริสเตียนของอาตมาบางท่านรู้สึกว่าคำ ฆราวาสนิยม นี้มีความหมายค่อนไปทางต่อต้านศาสนา ดังนั้นพวกเพื่อนเหล่านี้ไม่ต้องการให้อาตมาใช้คำนี้  พวกเขาคิดว่าหลักจริยธรรมจำเป็นต้องอยู่บนพื้นฐานของศาสนาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ทว่ารัฐธรรมนูญของอินเดียตั้งอยู่บนพื้นฐานของฆราวาสนิยม ที่ไม่ได้ต่อต้านศาสนาแต่อย่างใด ในอินเดียผู้คนนับถือศาสนามาก ท่านมหาตมะคานธีและผู้ร่างรัฐธรรมนูญอินเดียต่างก็ เป็นบุคคลที่มีศรัทธาปสาทะต่อศาสนาเป็นอย่างมาก คุณธรรมแบบฆราวาสนิยมในบริบทนี้ หมายถึง การเคารพนับถือศาสนาอื่นอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ฝักใฝ่ว่าศาสนาของตนเหนือกว่าศาสนาอื่น ความเคารพนี้ยังหมายรวมถึงการเคารพในสิทธิของบุคคลที่ไม่มีศาสนาในอินเดียอีกด้วย ดังนั้นอาตมาใช้คำว่าฆราวาสนิยมในความหมายนี้

ไม่ว่าจะมนุษย์หรือแม้แต่สัตว์และแมลง เราทุกคนต่างต้องการความสงบสุข ไม่มีใครต้องการความวุ่นวายใดๆ ทุกคนมีสิทธิเข้าถึงความสุข  และเอาชนะเหนือความวุ่นวาย ปัญหาหรือความทุกข์ทรมาณใดๆ เราไม่ต้องหาเหตุผลหรือการทดลองใด เพื่อมาพิสูจน์ความจริงตามธรรมชาตินี้ สรรพสัตว์ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นนก สัตว์ และมนุษย์ ต่างต้องการบรรลุถึงเป้าหมายคือการเข้าถึงความสุข  ข้อสำคัญคือวิธีการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น หนทางที่ดีนั้นจำต้องตั้งอยู่บนความเป็นจริง หากเราใช้หนทางที่ไม่เป็นจริงแล้ว เราคงไม่อาจเข้าถึงเป้าหมายนั้นได้ อาตมาขอยกตัวอย่าง สัตว์บางประเภทเมื่อตกใจกลัว ก็วิ่งหลงเตลิดไปผิดทาง ไปสู่อันตรายมากกว่าไปถูกทาง แต่เราเป็นมนุษย์ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีสติปัญญา มีเหตุมีผลที่สามารถเอาชนะได้มากกว่า เรามองเห็นผลหรือประโยชน์ที่พึงมีในระยะยาว แม้กระทั้งยอมสละประโยชน์ระยะสั้นเพื่อรักษาประโยชน์ระยะยาว นี้เป็นข้อบ่งชี้ว่ามนุษย์มีสติปัญญาเหนือกว่าสัตว์ และสติปัญญานี้ มนุษย์เราจึงพยายามบรรลุผลประโยชน์ในระยะยาว

คำถามคือ ระดับประสบการณ์ใดที่จะให้ประโยชน์สูงสุดแก่เรา ระดับประสบการณ์ทางกายสัมผัสส่วนใหญ่เป็นเพียงชั่วคราว ตัวอย่างเช่น เรามีความสุขความเพลิดเพลินที่ได้เห็นภาพบางภาพ หรือได้ชมการแข่งขันกีฬา นักท่องเที่ยวมีความสุขที่ได้เห็นสถานที่ทิวทัศน์ ประเพณีหรือผู้คนที่แตกต่างกันไป  คนรถของอาตมาในกรุงเดลลีชอบกีฬาคริกเก็ต เมื่ออาตมาถามเขาว่า เขานอนกี่ชั่วโมงในคืนที่มีการแข่งขันกีฬาคริกเก็ตที่ผ่านมา เขาตอบว่า ได้นอนเพียงสี่ชั่วโมง อาตมาดุเขาไปว่า เขาควรนอนหลับพักผ่อนให้สบาย ดีกว่ามาอดหลับอดนอนเพื่อดูการแข่งขันกีฬา  เพราะจะเป็นผลดีต่อสุขภาพจิต ความสุขเพลิดเพลินทางกายสัมผัสที่เราได้รับ ไม่ว่าจะเป็นดนตรี เครื่องหอมที่เย้ายวน และอาหารรวมทั้งความรู้สึกพึงพอใจทางกายที่เกิดขึ้น ความสุขเหล่านี้เป็นความสุขเพียงชั่วคราว เมื่อเราเสพสิ่งเหล่านี้เสร็จ สิ่งเดียวที่เหลือคือความทรงจำ

ในทางกลับกัน มีประสบการณ์บางอย่างในระดับจิต ที่ไม่ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส เป็นความสุขทางใจที่ยั่งยืนกว่า ดังนั้นข้อสำคัญที่จะต้องตระหนักให้ดีคือ มีประสบการณ์อยู่สองระดับที่ให้สุขและทุกข์ ประสบการณ์ทางกายสัมผัสเป็นสิ่งชั่วคราว แต่ประสบการณ์ทางจิตเป็นประสบการณ์ที่ลึกซึ้งกว่านั้นมาก ในยุคปัจจุบันผู้คนอยู่กับความสุขในระดับทางกายสัมผัสมากเกินไป เพราะเข้าใจว่านั่นสำคัญที่สุด พวกเขาต่างมองหาวัตถุภายนอกเพื่อความสุขเสมอ และมองข้ามสุขที่ละเอียดปราณีตกว่า โดยละเลยความสุขด้านในที่ละเอียดและลึกซึ้งกว่า  มีครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน อาตมาอยู่ในกรุงเบอร์ลิน ได้พักโรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองนี้ โรงแรมที่อาตมาพักตั้งอยู่ตรงข้ามกับสถานเริงรมย์ไนท์คลับแห่งหนึ่ง อาตมาเข้านอนราวทุ่มครึ่งหรือสองทุ่มได้ ก่อนเข้านอนอาตมาเห็นแสงสีต่างๆ มีทั้งสีแดง สีนํ้าเงินแวบๆวับๆ และเสียงที่ดังกระหึ่ม เมื่ออาตมาตื่นนอนอีกทีตอนเที่ยงคืน ทั้งผู้คนและแสงเสียงนั้นก็ยังคงดำเนินอยู่ จนกระทั่งตอนราวตีสี่ มันก็ยังคงดำเนินอยู่ พลังงานทั้งหมดของคนที่นั่นถูกดูดซับในระดับกายสัมผัส อาตมาเชื่อว่าคนเหล่านี้คงจะเหนื่อยเป็นแน่แท้ในวันรุ่งขึ้น

เมื่อเร็วๆนี้อาตมาได้พบกับครอบครัวชาวอินเดียครอบครัวหนึ่ง ครอบครัวนี้มีลูกๆ รวมทั้งพ่อแม่ก็อยู่ที่นั้นด้วย เราได้พูดคุยกันอย่างสบายๆ อาตมาพูดกับพวกเขาว่า ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา อาตมาไม่ได้ดูโทรทัศน์เลย ได้แต่ฟังข่าวทางสถานีวิทยุกระจายเสียงบีบีซี สมาชิกเยาว์วัยของครอบครัวนี้กล่าวกับอาตมาว่า “ท่านคงเบื่อเป็นแน่ที่ไม่ได้ดูโทรทัศน์!” นั่นเป็นนัยยะบ่งบอกว่าครอบครัวนี้ดูโทรทัศน์กันมาก ในอเมริกาและยุโรป เด็กๆดูโทรทัศน์กันมากเหลือเกิน สิ่งนี้ไม่เป็นประโยชน์เลย เพราะความสามารถของจิตในการคิดวิเคราะห์ด้วยปัญญาที่เฉียบคมจะเปลี่ยนไป ดังนั้นจึงเข้าใจได้ว่าความสุขที่พึงได้เกิดขึ้นในระดับจิต ไม่ใช่แค่ระดับประสามสัมผัส 

มีอีกข้อหนึ่งคือ อารมณ์แปรปรวนที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริงเกิดขึ้นในระดับจิตใจ ดังนั้นชีวิตที่จะมีความสุขได้ เราต้องมีจิตใจที่สงบเสียก่อน เมื่อจิตเกิดขุ่นมัวขึ้นมา เราต้องมาแก้กันที่เรื่องจิต ข้อแรกเราต้องให้ความสำคัญกับโลกภายในหรือคุณค่าภายใน ในพื้นที่เล็กๆของสมอง เราอาจสำรวจพื้นที่ภายในของจิตที่กว้างใหญ่ไพศาล แต่เรากลับรู้พื้นที่ภายในนี้น้อยมาก ดังนั้นเราจำเป็นต้องตรวจสอบอารมณ์ เมื่ออารมณ์รุนเเรงเกิดขึ้น เราจำต้องเฝ้ามองอารมณ์นั้นๆ เราจะพบว่ามันจะค่อยๆหายไปเอง ตัวเราเองมีศักยภาพเฝ้ามองจิตที่ถูกความโกรธครอบงำ เมื่อเราเฝ้ามองพิจารณาดูจิตนั้น อารมณ์ที่เต็มไปด้วยความโกรธนั้นก็จะหายไปเอง การมองลึกลงไปในใจให้มากกว่านี้จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก

ตอนนี้เราอยู่ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ดูเหมือนว่าศตวรรษที่ยี่สิบเป็นศตวรรษที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เพราะเกิดความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก เมื่อเรามีความรู้มากยิ่งขึ้น มาตรฐานการครองชีพจึงเพิ่มขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นศตวรรษแห่งการนองเลือด พ่อแม่และปู่ย่าตายายของเราได้ประสบพบความทุกข์ยากอย่างมหันต์ ประชากรกว่าสองร้อยล้านคนได้ถูกสังหารและตายไป ในจำนวนนี้มีคนตายจากมหันต์อาวุธระเบิดนิวเคลียร์ด้วย หากความรุนแรงที่เกิดขึ้นนี้สร้างระบบการเมืองโลกแบบใหม่ เราคงต้องวิพากษ์และตัดสินกับระบบโลกใหม่นี้ แต่นั่นไม่ใช่ข้อประเด็น แม้ในช่วงต้นศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ก็ยังคงมีปัญหามากมายเกิดขึ้นในอิรัก อิหร่าน และในอัฟกานิสถาน ยังปัญหาเรื่องการก่อการร้ายอีก สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นข้อผิดพลาดและความเลินเล่อของมนุษย์ในอดีต เพราะเราให้ความสำคัญกับวัตถุและสิ่งภายนอกมากเกินไป เราจำเป็นต้องคิดอย่างหนักในการให้ความสำคัญกับคุณค่าภายใน ไม่ใช่สิ่งภายนอก

ปัญหาอีกปัญหาหนึ่งที่นับได้ว่าเป็นปัญหาใหญ่ คือ ช่องว่างที่เพิ่มมากขึ้นระหว่าง คนจนกับคนรวย แม้ว่าจะมีความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุมากก็ตาม ในประเทศออสเตรียนี้ ระดับความเท่าเทียมกันของคนในชาติค่อนข้างดี แต่เมื่อปีที่แล้ว อาตมาเดินทางไปประเทศเม็กซิโก อาเจนติน่า และบราซิล อาตมาสอบถามว่าช่องว่างระหว่างคนจนและคนรวยเป็นอย่างไร มีมากไหม คำตอบที่ได้คือ มีกว้างมาก ในประเทศออสเตรียนี้ ช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยคงมีไม่มาก

อาตมาได้ถามต่ออีกว่า แล้วการทุจริตคอร์รับชั่นมีมากไหม ในประเทศที่มีการปกครองด้วยระบบประชาธิปไตยที่มีเสรีภาพในการพูดและการเขียน แม้กระนั้นประเทศเหล่านี้ก็ประสบปัญหาเรื่องการทุจริตกันมาก เพราะการ ขาดวินัยที่ดีในการควบคุมตนเอง รวมทั้งปัญหาการขาดศีลธรรม ยกตัวอย่างเช่น ประเทศอินเดียเป็นประเทศหนึ่งที่คนในชาตินับถือและเคร่งศาสนาอย่างมาก แต่ก็มีปัญหาเรื่องการทุจริตอย่างมากเช่นเดียวกัน คนอินเดียมักจะมีเทวรูปของศาสนาตนประจำบ้านอยู่มาก พวกเขากราบไหว้บูชาด้วยดอกไม้และธูปเทียนพร้อมสวดมนต์อธิษฐานวิงวอน บางครั้งอาตมาพูดเล่นว่าคนเหล่านั้นไหว้พระแล้วสวดมนต์ว่า ขอให้การทุจริตของฉันจงสำเร็จผลเถิด นี่นับว่าเป็นเรื่องน่าเศร้า เพราะแม้ว่าเขาเหล่านั้นจะเป็นคนนับถือศาสนา แต่ก็ยังมีคนส่วนมากที่ทำเรื่องทุจริต พวกเขาเป็นศาสนิกชน แต่ยังไม่เป็นศาสนิกชนที่ดีพอ ที่จะยึกหลักการทางศาสนาตนของตน หรือเกรงกลัวต่อบาป

หลายปีก่อนอาตมาได้พูดคุยกับนักวิชาการท่านหนึ่งถึงเรื่องบริษัทข้ามชาติ กับผลกำไรที่ไม่โปรงใส อาตมากล่าวว่าคนเหล่านี้ควรมีความเกรงกลัวต่อบาป และรู้จักควบคุมตนเองให้ดี นักวิชาการท่านนั้นตอบว่า นั่นเป็นความคิดในสมัยศตวรรษที่สิบแปด แม้ว่าคนเหล่านั้นจะสวดมนต์อ้อนวอนต่อพระเจ้า แต่พวกเขาก็ไม่จริงจังต่อหลักคำสอนและขอปฏิบัติศาสนา หามิเช่นนั้นแล้ว พวกเขาควรเชื่อฟังและประพฤติตามคำสั่งสอนของพระองค์ด้วยความซื่อสัตย์ ความห่วงใยและมีจริยธรรม   ดังนั้นเราควรใส่ใจต่อผู้อื่น ต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ใส่ใจในหลักศีลธรรมและจริยธรรมให้มากขึ้น นั่นหมายถึง การเน้นเรื่องวินัยในตนเอง ที่เกิดจากความเต็มใจ ไม่ใช่เกิดจากความกลัวหรือคิดว่าเป็นเพียงหน้าที่ โดยคิดว่าเมื่อตนทำสิ่งนี้แล้ว มันผิดหลักศีลธรรม

เราต้องมีความพยายามมากขึ้นในการเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรม ไม่เช่นนั้นเมื่อจำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้น แต่ทรัพยากรลดน้อยลง ก็จะมีปัญหามากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นเราจำเป็นต้องสร้างศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดนี้ให้เป็นศตวรรษแห่งความเมตตากรุณา นั่นคือหลักการพื้นฐานของคุณธรรมจริยธรรมแบบโลก

คุณธรรมจริยธรรมมีความเกี่ยวข้องอย่างมากกับความอบอุ่นใจ นั่นหมายถึงว่าเรามีความห่วงใยต่อผู้อื่นมากยิ่งขึ้น คนอื่นก็ต้องการมีความสุขเช่นกัน ไม่ต้องการความทุกข์ เราทั้งหลายต่างเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน เมื่อเขามีสุข ก็พลอยให้เราสุขไปด้วย เมื่อเราเข้าใจและเคารพพวกเขา การโกหก การทุจริตฉ้อโกง การด่าทอ หรือการเอาเปรียบกันก็ไม่เกิดขึ้น อาจกล่าวได้ว่าภาวะของความอบอุ่นทางใจ อันเป็นที่มาแห่งความสุขเกิดจากสภาพทางชีวภาพในช่วงเวลาที่แม่ทะนุถนอมเรามา เรารอดมาได้เพราะความรักของแม่ที่ให้นํ้านมเราดื่มกิน ประสบการณ์นี้ซึมซับอยู่ในยีนส์และในสายเลือด คำถามคือ เด็กๆมักมีความรักและความห่วงใยกับผู้อื่นมากกว่าเงินทอง แต่เมื่อพวกเขาเติบโตขึ้น กลับกลายว่าคุณค่าศีลธรรมอันดีงามของพวกเขาลดน้อยลง เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาฉลาดขึ้น อะไรทำให้เป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่าพวกเขากลายเป็นศูนย์กลางมากยิ่งขึ้น เมื่อคนเหล่านี้ช่วยเหลือคนอื่น ความช่วยเหลือนั้นมักจะมีผลประโยชน์แฝงอยู่ “ฉันจะได้อะไรตอบแทน” ดังนั้นความเห็นแก่ตัวในตัวเองจึงสนับสนุน “ตัวกู” ตัวใหญ่ ที่เป็นต้นเหตุของปัญหาใหญ่ เราจำเป็นต้องพิจารณาชุมชนทั้งหมดของมนุษยชาติว่าเป็น "เรา" โดยเห็นว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพยุโรป หรือเป็นส่วนหนึ่งของโลกทั้งหมดใบนี้ เราต้องคิดในแง่ของคนทั้งเจ็ดพันล้านคนในโลกนี้ว่าเป็น "เรา" และเราเป็นส่วนหนึ่งของ "เรา" ไม่ใช่แค่คิดในแง่ของ “ตัวกู” ตัวน้อยเท่านั้น ดังนั้นเราต้องเคารพคนทุกคน ทั้งคนรวยและคนจน ทุกคนควรมีสิทธิเท่าเทียมกันทั้งทางเศรษฐกิจและในทุกเรื่อง ความเคารพผู้อื่นจะเกิดขึ้นหากเราให้ความห่วงใยต่อความผาสุกแก่ผู้อื่น

เรื่องนี้อาจไม่ใช่เรื่องของศาสนา ศาสนาเป็นเรื่องสิทธิส่วนบุคคล แต่เรื่องนี้เป็นข้อห่วงใยของมนุษยชาติทั้งหมด เมื่อเราให้ความเคารพผู้อื่น เราก็จะไม่เอารัดเอาเปรียบเขา นอกจากนี้ความอบอุ่นทางใจยังช่วยสุขภาพกายให้ดีขึ้นมาก นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าภัยอันตรายและความหวาดกลัวทำให้ระบบภูมิคุ้มกันเราอ่อนแอลง ดังนั้นเมื่อเราหมกมุ่นกับตัวเองมากเท่าใด เราก็จะประสบพบกับความหวาดกลัวอยู่ร่ำไป และขาดการไว้วางใจในผู้อื่น อันเป็นที่มาของความโดดเดี่ยวและหวาดกลัว นำมาซึ่งความไม่พอใจและลงท้ายด้วยความโกรธในที่สุด แต่เมื่อเราเปิดใจของเรา และมีความรู้สึกห่วงใยต่อผู้อื่น เราก็จะมีความมั่นใจในตนเองมากยิ่งขึ้น โดยมีการกระทำที่เปิดเผยและโปร่งใส เราจะมองคนทุกรอบตัวเราว่าเป็นพี่น้องกัน เมื่อเรามีใจที่อบอุ่นและห่วงใยผู้อื่น คนเหล่านั้นก็จะตอบกลับมาในเชิงบวก แต่ในกรณีนี้ก็ไม่เสมอไป เมื่อใดที่ข้าพเจ้านั่งรถไปรอบๆ เที่ยวมองดูผู้คนไปตลอดทาง เเละยิ้มให้กับพวกเขา มีครั้งหนึ่งที่ประเทศเยอรมัน เมื่ออาตมาส่งยิ้มให้กับสุภาพสตรีท่านหนึ่งบนทางเท้า สุภาพสตรีท่านนั้นเริ่มสงสัยที่อาตมายิ้มให้ แทนที่รอยยิ้มจะทำให้เธอเกิดสุข กลับทำให้เธอกลัว อาตมาจึงต้องหันไปทางอื่น แต่โดยทั่วไปแล้วจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น

ความอบอุ่นใจเป็นสิ่งที่เราเรียนรู้จากแม่ของเรา นี่คือสิ่งที่เราต้องนำพาไปด้วยตลอดชีวิต ในการประชุมทางวิทยาศาสตร์ เรามีสโลแกนว่า “จิตใจที่เข้มแข็งเป็นที่มาของร่างกายที่แข็งแรง” เราต้องรู้ความจริง เราต้องมีจิตใจที่สงบ หากเราไม่มั่นคง เราจะเกิดความลำเอียงได้ และเราไม่อาจเห็นความจริง ซึ่งจะนำปัญหาต่างๆตามมา ดังนั้นจิตใจที่อบอุ่นช่วยพัฒนาจิตใจให้สงบได้

หากจิตใจไม่สงบแล้ว ก็จะมีปัญหาในการศึกษาเล่าเรียน เมื่อจิตไม่สงบหรือมีความทุกข์ การเรียนรู้ก็จะยากขึ้น จิตใจที่สงบจึงช่วยในการงานและอาชีพทั้งหมด รวมถึงการเมืองให้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี ในระยะสั้นจิตที่สงบช่วยให้เกิดความมั่นใจในตนเอง และความมั่นใจนี้ช่วยให้ตนเองมองเห็นความเป็นจริงได้อย่างชัดเจน และพัฒนาจิตใจที่อบอุ่นให้เกิดมากขึ้น

นี้คือหลักการพื้นฐานจริยธรรมทางโลก และเป็นกุญแจสู่ศิลปะแห่งความสุข อาตมาพบว่ามันค่อนข้างมีประโยชน์ ถ้าพวกท่านเห็นว่ามันสมเหตุสมผลแล้ว ก็ลองนำไปปฏิบัติดู หากมันดูไม่สมเหตุสมผล ก็ขอให้พวกท่านจงลืมมันเสีย  ขอขอบคุณทุกท่าน

Top