อย่างไรก็ตาม ชีวิตปัจจุบันของเราจะไม่คงอยู่ตลอดไป แต่การคิดว่า “ความตายเป็นศัตรู” นั้นผิดโดยสิ้นเชิง ความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา แน่นอนว่า จากมุมมองทางพระพุทธศาสนา ในแง่หนึ่ง ร่างกายนี้เป็นศัตรู ในการที่จะพัฒนาความปรารถนาที่แท้จริงเพื่อโมกษะ หมายถึงการหลุดพ้น แล้วนั้น เราจำเป็นต้องมีทัศนคติเช่นนั้น นั่นคือ การถือกำเนิดนี้ ร่างกายนี้ ธรรมชาติของมันคือความทุกข์ ดังนั้น เราจึงต้องการที่จะยุติสิ่งนั้น แต่ทัศนคติแบบนี้ก็อาจสร้างปัญหาได้มากมาย ถ้าคุณถือว่าความตายเป็นศัตรู ร่างกายนี้ก็เป็นศัตรู และชีวิตโดยรวมก็เป็นศัตรูด้วย นั่นมันค่อนข้างจะคิดไกลไปสักหน่อย
แน่นอนว่า ความตายหมายถึงการไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป อย่างน้อยก็สำหรับร่างกายนี้ เราจะต้องพรากจากทุกสิ่งที่เราได้พัฒนาความสัมพันธ์ไว้อย่างใกล้ชิดในช่วงชีวิตนี้ สัตว์ไม่ชอบความตาย ดังนั้น โดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์ก็เหมือนกัน แต่เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ดังนั้น ความตายจึงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา ตามหลักแห่งเหตุผล ชีวิตมีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด นั่นคือ มีการเกิดและการตาย ดังนั้น มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่อาตมาคิดว่าวิธีการและมุมมองที่ไม่ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงของเราเกี่ยวกับความตายทำให้เราเป็นห่วงและวิตกกังวลมากขึ้น
ดังนั้น ในฐานะผู้ปฏิบัติทางพระพุทธศาสนา การเตือนตัวเราเองทุกวันเกี่ยวกับความตายและความไม่เที่ยงจึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ความไม่เที่ยงมีอยู่สองระดับ นั่นคือ ระดับที่หยาบ [ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดจะสิ้นสุดลง] และระดับที่ละเอียด [ปรากฏการณ์ที่ได้รับผลกระทบจากสาเหตุและเงื่อนไขต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปเมื่อเวลาผ่านไป] อันที่จริงความไม่เที่ยงในระดับที่ละเอียดคือคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธศาสนา แต่โดยทั่วไป ระดับที่หยาบกว่าของความไม่เที่ยงก็เป็นส่วนสำคัญของการปฏิบัติด้วยเช่นกัน เพราะมันจะลดอารมณ์ที่เป็นไปในทางทำลายของเราที่ตั้งอยู่บนความรู้สึกที่ว่าเราจะคงอยู่ตลอดไปให้ลดลงบ้าง
จงมองดูที่กษัตริย์หรือราชาผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ ในทางตะวันตกด้วยเช่นกัน กับปราสาทและป้อมปราการขนาดใหญ่ของพวกเขาด้วย จักรพรรดิเหล่านี้ถือว่าตนเองเป็นอมตะ แต่ตอนนี้เวลาที่เราดูที่สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ มันค่อนข้างไร้สาระ ดูที่กำแพงเมืองจีน มันสร้างความทุกข์ทรมานอย่างใหญ่หลวงให้กับผู้ที่สร้างมันขึ้นมา งานเหล่านี้ทำได้สำเร็จด้วยความรู้สึกต่าง ๆ เช่น “พลังอำนาจและอาณาจักรของข้าจะคงอยู่ตลอดไป” และ “จักรพรรดิของข้าก็จะคงอยู่ตลอดไป” เช่นเดียวกับกำแพงเบอร์ลิน ที่ผู้นำคอมมิวนิสต์ชาวเยอรมันตะวันออกบางคนกล่าวว่า มันจะคงอยู่นานถึงพันปี ความรู้สึกทั้งหมดเหล่านี้มาจากการยึดจับที่ตัวพวกเขาเองและพวกพ้องของพวกเขาหรือความเชื่อของพวกเขา และจากการคิดว่าพวกเขาจะคงอยู่ตลอดไป
ตอนนี้ มันก็เป็นความจริงที่ว่า เราต้องการความปรารถนาเชิงบวกให้เป็นส่วนหนึ่งของแรงจูงใจของเรา เพราะถ้าหากไม่มีความปรารถนาก็จะไม่มีการเคลื่อนไหว แต่ความปรารถนารวมกับความไม่รู้เป็นสิ่งที่อันตราย ตัวอย่างเช่น มีความรู้สึกแห่งความคงทนถาวรที่มักจะสร้างมุมมองที่ว่า “ฉันจะคงอยู่ตลอดไป” นั่นไม่เป็นจริง นั่นคือความไม่รู้ และเมื่อคุณรวมสิ่งนั้นเข้ากับความปรารถนา มันก็คือ การต้องการสิ่งบางอย่างมากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้น มันก็จะยิ่งสร้างความยุ่งยากและปัญหามากขึ้นไปอีก แต่ความปรารถนาพร้อมกับปัญญานั้นเป็นไปในเชิงบวกอย่างมาก ฉะนั้นแล้ว เราจึงต้องการสิ่งนั้น
นอกจากนี้ เรายังเห็นการเตือนถึงความไม่เที่ยงในการปฏิบัติตันตระจากกะโหลกศีรษะและอะไรแบบนี้ และในบางแมนดาลา(mandala) หรือมณฑล เราก็จะนึกภาพสุสานซึ่งเป็นพื้นที่ฝังศพ ทั้งหมดนี้เป็นสัญลักษณ์เตือนใจเราถึงความไม่เที่ยง วันหนึ่ง รถของอาตมาแล่นผ่านสุสาน อาตมายังจำได้ดีเมื่ออาตมาพูดถึงมันในการปาฐกถาต่อมาภายหลังว่า “อาตมาเพิ่งจะผ่านสุสานมา นั่นคือจุดหมายปลายทางสุดท้ายของเรา เราต้องไปที่นั่น” พระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนแสดงให้สาวกของพระองค์เห็นว่าในที่สุดความตายก็มาถึง และพระพุทธเจ้าก็ทำเช่นเดียวกัน สำหรับพระอัลลอฮ์ อาตมาไม่รู้ พระอัลลอฮ์ไม่มีรูปร่าง แต่แน่นอนว่าท่านมูฮัมหมัดได้แสดงมันให้เห็นแล้ว
ดังนั้น เราจึงต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงที่ว่า ความตายจะมาถึงไม่ช้าก็เร็ว ถ้าคุณพัฒนาทัศนคติบางอย่างถูกต้องตั้งแต่แรกเริ่มที่ว่าความตายจะมาถึง จากนั้น เมื่อความตายมาถึงจริง ๆ คุณก็จะวิตกกังวลน้อยลง ดังนั้น สำหรับผู้ปฏิบัติชาวพุทธ การเตือนตัวเราเองทุกวันเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก