การนำเสนอเส้นทางตามลำดับขั้นตอนลัม-ริมแบบดั้งเดิม

การเดินหน้าด้วยวิธีการของเส้นทางตามลำดับขั้นเพื่อไปสู่การตรัสรู้จะเริ่มต้นด้วยการตระหนักถึงโอกาสที่หายากอย่างไม่น่าเชื่อที่เรามีกับการได้เกิดใหม่เป็นมนุษย์อันล้ำค่า ถ้าเราใช้ประโยชน์จากมันอย่างเต็มที่ เราก็จะสามารถบรรลุถึงไม่เพียงแค่การเกิดใหม่ในรูปแบบนั้นต่อไปเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการหลุดพ้นและการตรัสรู้อีกด้วย ทุกอย่างขึ้นอยู่กับขอบเขตของแรงจูงใจและจุดมุ่งหมายของเรา รวมทั้งการเรียนรู้และการปฏิบัติธรรมที่พระพุทธเจ้าได้สอนไว้

การเกิดใหม่เป็นมนุษย์อันล้ำค่า

เหตุใดการเกิดใหม่เป็นมนุษย์อันล้ำค่าจึงเป็นเหมือนอัญมณีสารพัดนึก

ร่างกายมนุษย์อันล้ำค่าที่เรามีนี้มีค่ามากกว่าอัญมณีสารพัดนึก มันเป็นพื้นฐานสำหรับการหยุดพัก แต่การหยุดพักและโอกาสที่ร่างกายของเราให้แก่เราไม่ใช่การเสพยา แต่เพื่อปฏิบัติธรรม เหตุใดร่างกายของมนุษย์อันล้ำค่าจึงมีค่ามากกว่าอัญมณีสาพัดนึก? เพราะด้วยอัญมณีสารพัดนึก เราสามารถที่จะได้รับอาหารและเครื่องดื่มสำหรับชาตินี้ได้ แต่อัญมณีสารพัดนึกจะไม่อาจเป็นประโยชน์ต่อชาติหน้าได้ ดังนั้น ร่างกายที่เรามีนี้จึงให้เรามีโอกาสที่จะปฏิบัติธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าอัญมณีดังกล่าว

เราทุกคนต้องการความสุขตลอดเวลาและนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ไม่ว่าเราจะบรรลุความสุขใดในชีวิตนี้ มันก็มีอายุสั้นมาก เพราะมันคงอยู่เพียงแค่ชั่วอายุสั้น ๆ นี้เท่านั้น ดังนั้น ถ้าเราต้องการความสุขที่ต่อเนื่องยาวนาน เราจำเป็นต้องคิดถึงชีวิตในชาติหน้าของเรา อัญมณีสารพัดนึกไม่สามารถให้อิสระแก่เราจากการเกิดใหม่ในดินแดนที่เลวร้ายทั้งสามได้และไม่สามารถให้ความเป็นอมตะแก่เราได้ แต่ด้วยการใช้ร่างกายมนุษย์อันล้ำค่านี้เป็นพื้นฐานการฝึกฝน เราก็จะสามารถป้องกันตัวเราเองจากการเกิดใหม่ในสภาพที่ต่ำกว่าได้ และก็เช่นเดียวกับ เจ็ตซัน มิลาเรปะ (Jetsun Milarepa) ที่ใช้มันเป็นรากฐานในการปฏิบัติธรรม เราก็จะสามารถบรรลุการตรัสรู้ในชาตินี้ได้ ดังนั้นในเมื่ออัญมณีสารพัดนึกไม่สามารถมอบสิ่งเหล่านี้ให้กับเราเหมือนกับร่างกายอันล้ำค่าของเราที่ให้เราได้ ร่างกายของเราจึงมีค่ามากกว่าอัญมณีสารพัดนึก

ดังนั้น เราจึงต้องปฏิบัติธรรมด้วยร่างกายอันล้ำค่านี้ แต่เรามักจะมีมุมมองที่ตรงกันข้าม นั่นคือ แม้ว่ามันจะมีค่ามากกว่าอัญมณีสารพัดนึก แต่เราก็ใช้ร่างกายของเราเพื่อให้ได้มาซึ่งความมั่งคั่งมากขึ้นเรื่อย ๆ และเราก็พร้อมที่จะสละชีวิตของเราเพื่อเป้าหมายระยะสั้นนี้ มีคนมากมายในโลกที่ร่ำรวยและฉลาดกว่าเรา แต่ด้วยการใช้ร่างกายอันล้ำค่าของเราในการปฏิบัติธรรม เราก็จะสร้างพลังบวก (บุญ) ได้มากกว่าที่พวกเขาทำ ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะไม่ทำให้การเกิดใหม่เป็นมนุษย์อันล้ำค่านี้สูญเปล่า แต่ใช้มันให้เกิดประโยชน์เพื่อบรรลุจุดประสงค์ 3 ข้อ นั่นคือ การบรรลุการเกิดใหม่ที่ดีกว่าในชาติหน้า การหลุดพ้น และการตรัสรู้

ไม่ว่าเราจะมีวัตถุสิ่งของกี่ชิ้นก็ตาม สิ่งนั้นก็ไม่อาจนำมาซึ่งความพึงพอใจได้ แม้ว่าคน ๆ หนึ่งจะเป็นเจ้าของสิ่งของต่าง ๆ ทั้งหมดในโลกนี้ เขาก็จะไม่พึงพอใจอยู่ดี ดังนั้น มันจึงชัดเจนว่า แม้แต่อัญมณีสารพัดนึกทั้งหมดก็ไม่อาจนำมาซึ่งความพึงพอใจได้ ถ้าคน ๆ หนึ่งได้ทรัพย์สมบัติมากขึ้นเรื่อย ๆ มันก็จะนำมาแต่ความทุกข์มากขึ้นเรื่อย ๆ เท่านั้น เราสามารถสัมผัสข้อเท็จจริงนี้ได้ด้วยตัวเราเอง เช่น ถ้าเราเดินทางด้วยรถไฟหรือรถบัสพร้อมกระเป๋าเดินทางจำนวนมาก มันก็จะทำให้การเดินทางลำบากมาก แต่ถ้าเราไม่มีทรัพย์สมบัติทั้งหมดนี้ มันก็จะเดินทางง่ายมาก

ดังนั้น เราจึงควรพยายามปฏิบัติธรรม ตัวอย่างเช่น เจ็ตซัน มิลาเรปะ ตอนที่อยู่ในถ้ำของเขา ก็ไม่ได้มีทรัพย์สมบัติทั้งหลาย เจ็ตซัน มิลาเรปะและพระศากยมุนีพุทธเจ้าตระหนักดีว่าวัตถุสิ่งของที่ไม่สำคัญและไม่จำเป็นนั้นเป็นอย่างไร และได้ละทิ้งสิ่งเหล่านั้นเพื่อปฏิบัติธรรม และคุณเองก็เช่นกัน ซึ่งเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศที่ร่ำรวยมากมายในโลกนี้ ได้ตระหนักว่าวัตถุสิ่งของต่าง ๆ ไม่สำคัญนักและได้ละทิ้งสิ่งเหล่านั้นเพื่อมาที่นี่เพื่อปฏิบัติธรรม 

สาเหตุและความยากลำบากในการได้เกิดใหม่เป็นมนุษย์อันล้ำค่า

เราจำเป็นต้องพิจารณาว่า ทำไมมันจึงเป็นเรื่องยากมากที่จะได้ร่างมนุษย์อันล้ำค่านี้มา มันยากที่จะได้มาเนื่องจากสาเหตุของตัวมันเองที่ยากที่จะสร้างได้ ซึ่งมีอยู่ 3 สาเหตุหลักคือ

  • รักษาวินัยในตนเองตามหลักจริยธรรมอย่างเคร่งครัด
  • ฝึกปฏิบัติทัศนคติที่กว้างไกล 6 ประการ (ความสมบูรณ์แบบ 6 ประการ)
  • ถวายบทสวดมหาปณิธานด้วยใจบริสุทธิ์

การรักษาวินัยในตนเองตามหลักจริยธรรมอย่างเคร่งครัด

มันเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะรักษาวินัยในตนเองตามหลักจริยธรรมอย่างเคร่งครัด และมันก็เป็นการยากสำหรับเราที่จะรับรู้และประเมินมันในตัวผู้อื่น นอกจากนี้ ในแง่ของการมีวินัยในตนเองตามหลักจริยธรรม มีการกระทำที่เป็นการทำลาย 10 ประการ และเราจำเป็นต้องพิจารณาว่าคนส่วนใหญ่ในโลกนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร และแน่นอนว่าในบรรดาผู้ที่รู้ว่ามันคืออะไร ส่วนใหญ่ก็จะไม่ฝึกปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงมัน

การกระทำที่เป็นการทำลายร่างกาย 3 ประการ ได้แก่

  • การฆ่า – ตัวอย่างเช่น เราอาจรู้ว่าเราไม่ควรฆ่า แต่เมื่อแมลงกัดเรา เราก็จะตบและฆ่าโดยสัญชาตญาณ
  • การเอาของที่เขาไม่ได้ให้ – แม้ว่าเราจะไม่ได้ออกไปขโมยของอย่างร้ายแรง แต่เราก็อาจจะใช้วิธีอันชาญฉลาดเพื่อเอาของจากคนอื่นมา ดังนั้น มันจึงเกือบจะเป็นสิ่งเดียวกัน
  • มีพฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสม – เรามีความปรารถนาอย่างมากที่จะอยู่กับคู่ครองของผู้อื่น

เราสะสมการกระทำที่เป็นการทำลายร่างกายต่าง ๆ เหล่านี้ในแต่ละวันเหมือนหยาดฝนที่ตกลงมาใส่เราเวลาที่เราอยู่กลางสายฝน

การพูดจาที่เป็นการทำลาย 4 ประการ ได้แก่

  • การโกหก – เราสะสมสิ่งนี้อยู่ตลอดเวลา ตัวอย่างเช่น ถ้าเราตั้งใจจะลงเขาและมีคนถามเราว่าเรากำลังจะไปไหน เราก็จะบอกว่าเรากำลังจะขึ้นเขา
  • การพูดจาทำให้เกิดความแตกแยก – ทำให้เพื่อนไม่เป็นมิตรต่อกัน และทำให้คนที่ไม่เป็นมิตรกันอยู่แล้วกลับกลายเป็นศัตรูกันมากขึ้น เราทำสิ่งนี้ตลอดเวลาด้วยการพูดไม่ดีเกี่ยวกับผู้อื่น
  • การพูดจารุนแรงหยาบคาย – สิ่งนี้ไม่จำเป็นต้องกระทำต่อมนุษย์เสมอไป ตัวอย่างเช่น ถ้าสุนัขเข้ามาในห้องของเรา เราอาจพูดว่า “รีบไสหัวออกไปซะ! ออกไป!” แล้วก็ใช้ภาษาที่รุนแรงหยาบคาย การใช้ภาษาที่หยาบคายหรือรุนแรงถือเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ เนื่องจากเรารู้ว่า หากมีคนใช้ภาษาที่รุนแรงหยาบคาย เราจะรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก และก็เช่นเดียวกันกับคนอื่น ๆ ที่รู้สึกแบบนั้น รวมทั้งสัตว์ก็รู้สึกเช่นเดียวกันด้วย
  • การพูดคุยอย่างไร้ความหมาย – แทบทุกคำพูดจากปากของเราเป็นการซุบซิบไร้สาระ เช่น “ฉันเคยไปประเทศนั้น” “ฉันเคยทำมาแล้ว” ถ้าคุณพูดมาก คุณก็จะเพิ่มโอกาสในการใช้คำพูดที่เป็นการทำลายล้างนี้มากขึ้น เพราะอาตมาไม่รู้ภาษาอังกฤษ อาตมาจึงไม่มีโอกาสซุบซิบนินทาเป็นภาษาอังกฤษ อาตมาก็เลยซุบซิบนินทาเป็นภาษาทิเบตเพิ่มมากขึ้นก็เท่านั้น!

วิธีคิดที่เป็นการทำลาย 3 ประการ ได้แก่

  • การคิดอย่างโลภ – เช่น ใครบางคนมีบ้านที่สวยมาก ฯลฯ แล้วคุณก็ต้องการมันสำหรับตัวคุณเอง คิดเกี่ยวกับมันตลอดเวลาและวางแผนว่าจะได้มันมาอย่างไร สิ่งนี้ไม่ดีมาก ๆ แต่เป็นสิ่งที่เรามีกันมาก
  • การคิดมุ่งร้าย – หวังให้ใครสักคนไม่มีความสุขหรือคอหัก นี่เป็นสิ่งที่เราไม่เพียงแค่หวังให้เกิดกับศัตรูของเราเท่านั้น แต่เรายังสามารถมุ่งร้ายได้ถ้าเพื่อนของเราทำให้เรารำคาญ
  • การคิดอย่างบิดเบือนด้วยการต่อต้าน – เช่น คิดว่าไม่มีการเกิดใหม่ในอนาคตหรือว่าพระรัตนตรัยช่วยใครไม่ได้ หรือคิดว่าการถวายบูชา (puja) เป็นการเสียเวลา หรือการถวายตะเกียงเนยเป็นการเปลืองเนย หรือการทำโทมา (torma) เครื่องเซ่นสังเวยก็เหมือนทิ้ง แซมปา (เมล็ดข้าวบาร์เลย์คั่ว) ไป

มันยากที่จะป้องกันตัวเราเองจากการกระทำเหล่านี้ และถ้าคุณไม่ป้องกันตัวคุณเองจากการกระทำเหล่านี้แล้ว คุณก็จะไม่สามารถบรรลุการเกิดใหม่เป็นมนุษย์อันล้ำค่าได้ ตอนนี้ไม่มีเวลาลงรายละเอียด แต่ถ้าคุณต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม คุณจำเป็นต้องศึกษาคำสอนลัม-ริม (lam-rim)

ฝึกปฏิบัติทัศนคติที่กว้างไกล 6 ประการ (ความสมบูรณ์แบบ 6 ประการ)

สาเหตุที่ 2 ของการได้เกิดใหม่เป็นมนุษย์อันล้ำค่าคือ การฝึกฝนทัศนคติที่กว้างไกล 6 ประการหรือบารมี 6 (ความสมบูรณ์ 6 ประการ) ซึ่งได้แก่

  • ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
  • ความมีวินัยในตนเองตามหลักจริยธรรม
  • ความอดทน
  • ความเพียรพยายาม
  • ความมั่นคงทางจิตใจ (สมาธิ)
  • การรับรู้ที่แยกแยะ (ปัญญา)

แต่แทนที่จะฝึกความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เรากลับฝึกความตระหนี่และขยายทัศนคติที่ตระหนี่ถี่เหนียวของเราออกไปให้คนอื่น แทนที่จะมีความอดทน เรากลับมีความโกรธ แทนที่จะมีความเพียรพยายามซึ่งเราพยายามใช้ความกล้าหาญอย่างวีรบุรุษและมีความปีติยินดีในการปฏิบัติธรรม เรากลับมีความเกียจคร้านและอยากนอนอยู่ตลอดเวลา แทนที่จะมีความมั่นคงทางจิตใจ เรากลับปลูกฝังความสับสน ตัวอย่างเช่น เมื่อสวดมนต์จิตใจของเรากลับล่องลอยไปทุกที่ เอาใจไปคิดถึงเรื่องอื่น ๆ และเราก็พัฒนาโอกาสให้สิ่งนี้เกิดขึ้นต่อไปอีก

ครั้งหนึ่ง มีครูคนหนึ่งซึ่งขณะที่กำลังฝึกปฏิบัติ จำได้ว่ามีงานหนึ่งที่เขาอยากให้ลูกศิษย์ทำแต่ลืมบอกไป พอนึกขึ้นได้ก็หยุดการทำสมาธิ ลุกขึ้นบอกให้ลูกศิษย์ทำสิ่งนั้น นี่คือความใจลอยของครูที่เอาใจไปคิดถึงเรื่องอื่น ๆ เมื่อใดก็ตามที่เราฝึกปฏิบัติการสวดมนต์ จิตใจของเรามีแนวโน้มที่จะขาดสมาธิ 

ในแง่ของการรับรู้ที่แยกแยะอันกว้างไกล เราจำเป็นต้องปลูกฝังการรับรู้ที่แยกแยะที่เข้าใจเรื่องของการที่ไม่มีสิ่งใด (ความว่างเปล่า) แต่เรากลับศึกษาสิ่งต่าง ๆ ทางโลกแทน เช่น การวาดภาพทาสี ดังนั้น เราจึงไม่ได้สร้างความรู้ที่ถูกต้อง

กล่าวอย่างสั้น ๆ คือ มันยากมากที่จะสร้างสาเหตุของการเกิดใหม่เป็นมนุษย์อันล้ำค่า เมื่อเห็นว่าในการที่จะมีร่างกายเช่นนี้ได้นั้นมันยากเพียงใด เราควรคิดว่า เรามีมันเพียงครั้งเดียวและมันอาจหายไปได้ง่ายมาก ถ้าเราไม่ใช้ประโยชน์จากร่างกายมนุษย์อันล้ำค่านี้ที่เราได้รับมา มันก็จะเป็นการยากมากที่จะได้รับร่างกายนี้ใหม่ในอนาคต

การถวายบทสวดมหาปณิธานด้วยใจบริสุทธิ์

เราจำเป็นต้องเสริมการรักษาวินัยในตนเองตามหลักจริยธรรมและฝึกปฏิบัติทัศนคติอันกว้างไกลทั้งหกด้วยการสวดอ้อนวอนอย่างจริงใจเพื่อให้เกิดใหม่เป็นมนุษย์อันล้ำค่า นี่ไม่ได้หมายถึงการสวดมนต์เช่น “โอ้ พระพุทธเจ้า ขอทรงโปรดประทานมันแก่ข้าพระองค์หากข้าพระองค์เป็นเด็กดี และข้าพระองค์ก็สรรเสริญพระองค์ตลอดเวลา” แต่มันควรจะเป็นการชี้นำที่เข้มแข็งมากสำหรับความตั้งใจและพลังงานเชิงบวกของเรา โดยมีการอุทิศตนที่เฉพาะเจาะจงในการบรรลุถึงการเกิดใหม่เป็นมนุษย์อันล้ำค่า

มันสำคัญที่การอุทิศตนนั้นจะต้องมีความเฉพาะเจาะจง ในอารามกันเดน (Ganden Monastery) มีบัลลังก์ซึ่งเป็นที่นั่งที่สูงมากของหัวหน้าคณะเกลุกปา (Gelugpa) คือบัลลังก์กันเดน ในทิเบต มักจะมีสัตว์อยู่ในอารามเสมอ และวันหนึ่ง ก็มีวัวตัวหนึ่งเดินเข้าไปในวัดและนอนลงบนบัลลังก์ ภิกษุทั้งหลายประหลาดใจในเรื่องนี้มาก พวกเขาจึงถามครูผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งที่นั่นว่า “สิ่งนี้เกิดจากสาเหตุอะไร?” ครูบอกว่า “ในชาติก่อน สิ่งมีชีวิตนี้สวดมนต์ให้สามารถนั่งบนบัลลังก์กันเดนได้ แต่ยังไม่เจาะจงเพียงพอ!”

การหยุดพักจากสถานการณ์ทั้ง 8 ของการไม่มีเวลาว่าง

ธรรมชาติของการเกิดใหม่เป็นมนุษย์อันล้ำค่าคือ การได้หยุดพัก 8 ครั้ง นั่นหมายความว่า ในขณะนี้ มันเป็นอิสระจากสถานการณ์ชั่วคราวทั้ง 8 ของการไม่มีเวลาว่าง สภาพของการไม่มีเวลาว่างคือ สภาพที่ไม่มีโอกาสปฏิบัติธรรม

สภาพของอมนุษย์ที่ไม่มีเวลาว่างมี 4 สภาพ ได้แก่

  • สิ่งมีชีวิตที่ติดอยู่ในดินแดนที่ไร้ความสุข (สัตว์นรก) – ถ้าเราเกิดใหม่ในแดนนรกที่ไร้ความสุข ก็จะไม่มีโอกาสได้ฝึกฝนเพราะร่างกายของเราถูกไฟเผาอยู่ตลอดเวลา
  • ผีหิวโหย (ผีหิวโหยหรือเปรต) – ถ้าเราเกิดใหม่เป็นผี เราจะหิวกระหายตลอดเวลาและหมกมุ่นอยู่กับความคิดเรื่องอาหาร

ถ้าเราตื่นนอนตอนเช้าแล้วไม่ได้ทานอาหารเช้า เราก็จะไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติธรรม ถ้าเราตื่นมาด้วยความปวดหัว เราก็จะไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติธรรม ดังนั้น ถ้าดูจากจากประสบการณ์ของเรา ถ้าเราเกิดเป็นผีที่หิวโหยและขาดอาหารไป 60 ปี เราก็คงไม่สนใจที่จะปฏิบัติธรรม ดังนั้น เราจำเป็นต้องขอบคุณที่โชคดีที่เราไม่ได้เกิดใหม่ในฐานะผู้ถูกทรมานที่ถูกขังอยู่ในแดนนรกที่ไร้ความสุข หรือเป็นผีหิวโหยที่คว้าจับอาหารอยู่ตลอดเวลา

  • ดิรัจฉาน (สัตว์) – แม้ว่าเราจะเกิดเป็นสุนัขของสมเด็จองค์ดาไลลามะ เราก็ไม่สามารถแม้แต่จะท่องบทสวดที่พึ่งนั้นได้ เราโชคดีมากที่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น
  • เทพ (เทพเจ้าที่อายุยืน) – เทวดาที่อายุยืนในแดนสวรรค์มีความปีติยินดีทางโลกอย่างมากจนไม่สนใจในการปฏิบัติธรรม

พระสารีบุตรมีสาวกคนหนึ่งซึ่งมอบตัวเขาเองให้กับท่านด้วยความศรัทธาอย่างแข็งขันกับ “การอุทิศตนให้ครู” หลังจากที่สาวกนั้นเสียชีวิต เขาก็ไปเกิดในแดนเทพ พระสารีบุตรได้ใช้พลังประสาทสัมผัสพิเศษจึงสามารถเห็นได้ว่าสาวกผู้ซื่อสัตย์ของท่านได้ไปเกิดในอาณาจักรนั้น ท่านก็เลยคิดว่าจะไปเยี่ยมเขา เมื่อพระสารีบุตรไปถึงแดนเทพแห่งนั้น แต่สิ่งที่สาวกคนนั้นทำทั้งหมดก็คือโบกมือทักทาย “สวัสดี!” ให้ท่าน เขาไม่สนใจครูหรือการปฏิบัติธรรมเพราะเขากำลังมีช่วงเวลาที่ดีนั้น

เราสามารถเห็นสิ่งนี้ได้จากประสบการณ์ของเรา ถ้าใครยากจนมาก ก็จะเตรียมพร้อมในการปฏิบัติธรรม แต่ถ้าเขากลายมาเป็นคนที่ร่ำรวยและมีความสะดวกสบายมาก เขาก็จะไม่สนใจ ดังนั้น เราจึงโชคดีมากที่ไม่ได้เกิดเป็นเทพเจ้าที่มีอายุยืนยาว

สภาพของมนุษย์ที่ไม่มีเวลาว่างมี 4 สภาพ ได้แก่

  • ในที่ที่ไม่มีถ้อยคำของพระพุทธเจ้า – เช่น มีคนเกิดในประเทศหรือในเวลาที่พวกเขาไม่สามารถที่จะได้ยินแม้แต่พระธรรม เราไม่ได้อยู่ในสถานการณ์นั้น
  • ในสังคมป่าเถื่อน – เป็นที่ที่ความสนใจของทุกคนล้วนแต่อยู่ที่การหาอาหารและเสื้อผ้าเท่านั้น

ในทิเบตมีภูเขาที่เรียกว่า ซารี (Tsari) ชาวทิเบตจะไปที่นั่นทุก ๆ 12 ปี ชนเผ่าโลบา (Loba) ที่อาศัยอยู่ที่นั่นป่าเถื่อนมาก และเพื่อที่จะผ่านประเทศของพวกเขา เราจะต้องเสียภาษี ภาษีคือจามรี และเมื่อชนเผ่าได้จามรีแล้ว พวกเขาก็จะฆ่าและกินมันและดื่มเลือดมันทันที เราจึงโชคดีที่ไม่ได้เกิดในสถานที่นั้น แม้จะเป็นมนุษย์ก็ตาม

  • กับผู้พิการมาก – ถ้าเราเกิดมาตาบอด หูหนวกและเป็นใบ้ หรือมีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ หรือสังคม แต่กำเนิด เราก็จะมีอุปสรรคร้ายแรงในการเรียนรู้และฝึกปฏิบัติ
  • ในพื้นที่ที่มีทัศนคติต่อต้านศาสนา – สถานที่ที่ผู้คนคิดว่าการปฏิบัติทางศาสนาใด ๆ โดยเฉพาะพระธรรมทางพุทธศาสนาเป็นการเสียเวลาอย่างโง่เขลาและสิ่งที่คุ้มค่าทั้งหมดคือ การหาเงิน เป็นต้น

ถ้าเราเกิดใหม่เป็นมนุษย์โดยปราศจากสภาพทั้งหมดนี้ และนอกจากนี้ ถ้าเราเข้าใจถึงสาเหตุต่าง ๆ ของการได้มาซึ่งสภาพนั้น เราจึงโชคดีเป็นทวีคูณ หลายคนที่มีชีวิตมนุษย์อันล้ำค่าเช่นนี้ไม่ได้ตระหนักว่าอะไรคือสาเหตุต่าง ๆ เพื่อการดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะได้มาซึ่งการเกิดใหม่แบบนั้นเพิ่มขึ้นอีก 

การเปรียบเทียบความคล้ายคลึงกัน

เราสามารถใช้การเปรียบเทียบความคล้ายคลึงกันเพื่อช่วยให้เราเข้าใจความยากลำบากในการได้มาซึ่งร่างกายมนุษย์อันล้ำค่าได้ ตัวอย่างเช่น มันหายากพอ ๆ กับเม็ดทรายที่อาจจะเกาะติดกับกระจกได้เมื่อโยนมันใส่กระจกนั้น

ถ้าเราคิดถึงเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ เราจะตระหนักว่าการเกิดใหม่เป็นมนุษย์ในปัจจุบันของเรานั้นช่างล้ำค่าเพียงใด และเราควรคิดว่า เราได้มันมาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ให้ลองนึกถึงผู้คนหลายร้อยล้านคนในอินเดียว่าจะมีสักกี่คนที่จะปฏิบัติธรรม ดังนั้น เราจึงจะได้เห็นว่ามันหายากแค่ไหน

ครั้งหนึ่ง มีลามะองค์หนึ่งกำลังบรรยายเรื่องความยากลำบากในการได้เกิดใหม่เป็นมนุษย์อันล้ำค่า มีคนฟังชาวมองโกเลียคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “ถ้าท่านคิดว่าการเกิดใหม่เป็นมนุษย์เป็นเรื่องยากนัก ท่านควรจะไปที่ประเทศจีนและดูว่ามีคนอยู่กี่คนที่นั่น!” นั่นก็เหมือนกับการบอกอาตมาว่าอาตมาควรจะไปประเทศรัสเซีย

สิ่งเหล่านี้เป็นประเด็นที่ดีมากที่จะคิดเกี่ยวกับการทำสมาธิ

การใช้ประโยชน์จากร่างกายมนุษย์อันล้ำค่าของเราและดำเนินชีวิตอย่างมีความหมาย

ถ้าเราคิดว่าเราทำงานหนักแค่ไหนในชาติก่อนเพื่อให้ได้ร่างกายมนุษย์อันล้ำค่านี้มา เราก็จะมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำให้ชีวิตนี้มีความหมาย ตัวอย่างก็น่าจะเป็นเช่นว่า ถ้าคุณบรรทุกของขึ้นบนภูเขาไปครึ่งทางแล้วปล่อยมันไป มันก็จะตกลงมาจนสุดทาง งานที่เราทำเพื่อให้ได้มาซึ่งการเกิดใหม่เป็นมนุษย์อันล้ำค่าในชีวิตนี้เปรียบเสมือนงานที่บรรทุกสัมภาระไปบนภูเขาครึ่งทาง และถ้าเราปล่อยมันไป งานทั้งหมดก็จะสูญเปล่า

ฉะนั้น เมื่อเรามีร่างกายมนุษย์อันล้ำค่า เราก็ไม่ควรที่จะเพียงแค่ปรารถนาที่จะมีร่างกายนั้นอีกในอนาคตเท่านั้น ขณะที่เรามีมันอยู่ตอนนี้ เราจำเป็นต้องใช้มันเพื่อบรรลุสภาพของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้โดยสมบูรณ์ ถ้าเราไม่ทำ มันก็จะเหมือนมีถุงข้าว แค่นั่งเฉย ๆ อยู่ตรงนั้นและไม่กินมัน แต่สวดภาวนาขอให้มีข้าวอีกถุงในชาติหน้า เราต้องใช้ประโยชน์จากการเกิดใหม่เป็นมนุษย์ของเราอย่างเต็มที่ในตอนนี้

Top