แนวทางของชาวมุสลิมต่อพระพุทธศาสนาตามประวัติศาสตร์
ตอนนี้เรามาเจาะจงที่พระพุทธศาสนากับศาสนาอิสลามกันครับ นอกจากการค้นคว้าส่วนตัวเกี่ยวกับศาสนาอิสลามแล้ว ผมยังได้นำข้อมูลมาจากหนังสือที่เขียนโดย เรซา ชาห์ เกซมี (Reza Shah Kazemi) ที่มีชื่อว่า พื้นฐานร่วมระหว่างศาสนาอิสลามและพระพุทธศาสนา (Common Ground between Islam and Buddhism ) โดยมีคำนำของสมเด็จองค์ดาไลลามะและเจ้าชายฆาซี บิน มุฮัมมัด แห่งประเทศจอร์แดน (Prince Ghazi bin Muhammad of Jordan) ผมได้อ้างอิงข้อความที่เกี่ยวข้องจากคัมภีร์อัลกุรอานที่ระบุไว้ในงานเขียนของ ดร. เกซมี
หากพิจารณาในเชิงประวัติศาสตร์แล้ว ทั้งชาวมุสลิมและชาวพุทธ (ในบริบทนี้ผมขอจำกัดพระพุทธศาสนาอยู่ในรูปแบบอินโด-ทิเบต) ได้ปฏิบัติใช้แนวทางรวมตัวมาตลอด ยกตัวอย่างเช่น ชาวมุสลิมถือว่าชาวพุทธอยู่ในฐานะ ผู้คนของพระคัมภีร์ เหมือนกับชาวยิว ชาวคริสต์ และชาวโซโรอัสเตอร์ จุดนี้มีความเป็นไปเป็นมาอย่างไร?
ในช่วงของรัฐเคาะลีฟะฮ์อุมัยยะห์ (Umayyad Caliphate 661 – 750 ยุคทั่วไป) ชาวอาหรับได้กระจายการปกครองและศาสนาของตน นั่นก็คือศาสนาอิสลาม ไปทั่วทวีปตะวันออกกลาง ดังนั้นในช่วงต้นศตวรรษที่แปด นายพลชาวอูมายยัด นามว่า มุฮัมมัดบิน กาซิม (Muhammad bin Qasim) ได้เข้าครอบครองบริเวณที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา ชื่อว่า ซินด์ (Sind) ซึ่งในปัจจุบันคือทางตอนใต้ของประเทศปากีสถาน ชาวพุทธและฮินดูในเมืองพราหมณพัท (Brahmanabad) ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองขนาดใหญ่ จึงขออนุญาตสร้างวัดขึ้นมาใหม่และคงอิสระในการนับถือศาสนาของตนต่อไปได้ นายพลคาซิมปรึกษากับผู้ว่า นามว่าฮัจจัจ บิน ยูซุฟ (Hajjaj bin Yusuf) ผู้ไปปรึกษาผู้สอนศาสนาอิสลาม ผู้สอนศาสนาเหล่านี้ จึงประกาศว่าชาวพุทธ (รวมถึงชาวฮินดู) เป็นผู้คนของพระคัมภีร์ ซึ่งภายหลังเรียกกันว่า “ข้อยุติคดีพราหมณพัท”
ท่านฮัจจัจ ผู้ว่าอุมัยยะห์ ประกาศว่า:
คำขอของหัวหน้าชาวพราหมณพัททั้งหลายเกี่ยวกับการสร้างวัดวาอารามทางพระพุทธศาสนาและทางศาสนาอื่น ๆ รวมถึงเรื่องการเปิดกว้างต่อศาสนากิจนั้นเป็นเรื่องที่มีความยุติธรรมและมีเหตุผล ข้าพเจ้าไม่เห็นว่าพวกเรามีสิทธิ์ใดต่อพวกเขานอกเหนือไปจากการเก็บภาษีทั่วไป พวกเขาได้แสดงความเคารพต่อเรา และได้ปฏิบัติตามการจ่ายภาษีรัชชูปการเป็นเครื่องบรรณาการ (อาราบิค : จิซยา ) สำหรับเคาะลีฟะฮ์แล้ว เนื่องจากพวกเขาได้กลายเป็นประชากรที่ได้รับการคุ้มครอง (อาราบิค : ธิมมิ ) พวกเราจึงไม่มีสิทธิ์ใด ๆ ทั้งสิ้นในการเข้าไปยุ่งกับชีวิตและทรัพย์สินของพวกเขา จงอนุญาตให้พวกเขาปฏิบัติตามศาสนาที่นับถือ ห้ามมิให้ผู้ใดขัดขวางพวกเขา
ต่อจากนั้น ชาวพุทธจึงได้รับอนุญาตให้สร้างวัดและอารามต่าง ๆ ของตนขึ้นมาใหม่ และได้รับสถานะของการเป็นประชาชนที่ได้รับการคุ้มครองที่ไม่ใช่ชาวมุสลิม ตราบใดที่พวกเขาจ่ายภาษีรัชชูปการเป็นเครื่องบรรณาการ นโยบายนี้ได้รับการปฏิบัติสืบกันมาในการปกครองของเคาะลีฟะฮ์อุมัยยะห์ ตามด้วยเคาะลีฟะฮ์อับบาซียะฮ์ที่ปกครองจากกรุงแบกแดด (750 – 1258 ยุคทั่วไป) และจากนั้นคือผู้ปกครองชาวมุสลิมแห่งอินเดีย แต่แน่นอนว่านโยบายดังกล่าวก็ไม่ได้รับการปฏิบัติตามโดยผู้ปกครองหรือนายพลบางกลุ่มเสมอไป กระนั้นแล้ว การใช้ยุติคดีข้อนี้ชี้ให้เห็นว่าพระพุทธศาสนาไม่ได้อยู่รวมกับกลุ่มลัทธิพหุเทวนิยมนอกศาสนา ซึ่งผู้มีศรัทธาของลัทธิเหล่านี้ไม่ได้รับสิทธิพิเศษดังกล่าว
VIDEO
ตอนนี้คุณอาจแย้งว่าการให้สิทธิ์การยอมรับทางกฎหมายกับพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องทางการเมืองมากกว่าทางเทวศาสตร์ จึงงอกเงยมาจากลัทธิปฏิบัตินิยมมากกว่าการวิเคราะห์เชิงปรัชญาแบบละเอียด กรณีนี้ก็คงจะเป็นแบบนั้นนั่นล่ะครับ หลังจากอนุญาตให้สร้างวัดทางพระพุทธศาสนาและศาสนาฮินดูขึ้นมาใหม่แล้ว ผู้ว่าชาวอาหรับก็หักภาษีผู้แสวงบุญที่เดินทางมาสักการะตามสถานที่เหล่านี้ แต่ถึงกระนั้นแล้ว นักวิชาการด้านศาสนาอิสลามก็ไม่เคยพิจารณาว่านโยบายแบบ “ปฏิบัตินิยม” นี่เป็นการละเมิด หรือลดหย่อนหลักเทวศาสตร์พื้นฐานของอิสลามเลย การให้การยอมรับทางกฎหมายกับพระพุทธศาสนา การปกป้องทางการเมือง และการเปิดรับศาสนานั้นแสดงให้เห็นว่า เส้นทางศาสนาและศีลธรรมของพระพุทธศาสนาสืบทอดมาจากอำนาจที่สูงส่งกว่า นั่นคือ วิวรณ์ที่แท้จริงของพระเจ้านั่นเอง
ถ้าอย่างนั้น พื้นฐานของการประกาศว่าชาวพุทธเป็นผู้คนของพระคัมภีร์คืออะไรกัน? มันเป็นเพียงแค่พื้นฐานในธรรมเนียมการบูชาที่เหมือนกันหรือเปล่า? ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงต้นศตวรรษที่แปด นักประวัติศาสตร์ชาวอิหร่าน อัล-เกอร์มานี เขียนเล่าอย่างละเอียดถึงอารามนววิหาร (Nava Vihara Monastery) ในเมืองแบลค์ของอัฟกานิสถาน และอธิบายถึงธรรมเนียมพระพุทธศาสนาบางอย่างโดยยกตัวอย่างเปรียบเทียบจากศาสนาอิสลาม เขายังได้เขียนอธิบายถึงวัดหลักว่ามีก้อนหินลูกบาศก์อยู่ตรงกลาง ห่อหุ้มด้วยผ้า และผู้ที่มาสักการะจะเดินวนไปมารอบ ๆ และหมอบกราบ ซึ่งเหมือนกับกรณีของกะอ์
ถ้าอย่างนั้น การประกาศว่าชาวพุทธเป็นผู้คนของพระคัมภีร์มีรากฐานหลักคำสอนอย่างไร? คำถามนี้มีความสำคัญมาก เพราะถ้าหากว่าชาวพุทธได้รับการมองว่าเป็นผู้คนแห่งพระคัมภีร์ พวกเขาก็ย่อมได้รับการรวมอยู่ในกลุ่มของชุมชนที่ได้รับการ “ช่วยเหลือให้พ้นบาป” ตามที่แสดงให้เห็นในข้อความตอนหนึ่งในคัมภีร์อัลกุรอาน
ผู้ศรัทธาและผู้ที่เป็นยิว คริสต์ และชาวซาเบียนเท่านั้น – ผู้ใดที่เชื่อในพระเจ้าและวันสุดท้าย และกระทำความดีทั้งหลาย – สำหรับคนเหล่านี้ รางวัลของพวกเขาอยู่กับพระเจ้าของตน ไม่มีความกลัวหรือความทุกข์ใด ๆ จะเกิดขึ้นกับพวกเขา
ข้อความนี้บ่งชี้ถึงพื้นฐานร่วมกันระหว่างพระพุทธศาสนาและศาสนาอิสลามตามคัมภีร์อัลกุรอ่าน – ความเชื่อในพระเจ้าและวันพิพากษาสุดท้าย และการกระทำมีคุณธรรมและสร้างสรรค์ ถึงแม้ว่าทิฐิจะไม่เหมือนกัน ศาสนาอิสลามก็ถือว่าอย่างน้อยก็คล้ายคลึงกันมากพอที่จะเทียบเคียงกันได้ ดังที่ระบุไว้ในคัมภีร์อัลกุรอาน (2:137):
และหากพวกเขาเชื่อในเรื่องเช่นเรื่องที่เจ้าเชื่อ ฉะนั้นแล้วพวกเขาก็ได้รับการนำทางอย่างถูกต้อง
เพราะฉะนั้นแนวทางประเภทนี้จึงเป็นการรวมตัวอย่างชัดเจน พุทธศาสนิกชนจะไปถึงพิโมกข์เช่นเดียวกับที่สอนในศาสนาอิสลาม เพราะพวกเขาปฏิบัติตามทิฐิที่คล้ายคลึงกัน
คำถามคือ มีขอบเขตอะไรบ้างสำหรับการตัดสินว่าสิ่งใดสามารถรวมอยู่ในแนวคิดเรื่องพระเจ้า ศาสนาที่ได้รับการเผยให้รู้โดยพระเจ้า วันพิพากษาสุดท้าย ความจริงอันเป็นหนึ่งเดียว และอื่น ๆ ทั้งในฝั่งของชาวมุสลิมและชาวพุทธ มีอาจารย์สอนศาสนาบางกลุ่มที่สร้างนิยามของสิ่งเหล่านี้ไว้อย่างค่อนข้างเคร่งครัด แต่บางกลุ่มก็มีความยืดหยุ่นค่อนข้างมากสำหรับนิยามเหล่านี้เช่นกัน
แนวทางของชาวพุทธต่อศาสนาอิสลามตามประวัติศาสตร์
ก่อนที่เราจะไปดูขอบเขตของแนวคิดเหล่านี้ เรามาดูแนวทางของชาวพุทธต่อศาสนาอิสลามตามประวัติศาสตร์กันก่อนเลยครับ ตำราพระพุทธศาสนาสายเดียวที่กล่าวถึงธรรมเนียม หรือความเชื่อของศาสนาอิสลามคือ วรรณกรรมภาษาสันสกฤตเกี่ยวกับ กาลจักรตันตระ (Kalachakra Tantra) ซึ่งพบว่าเขียนขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่สิบและต้นศตวรรษที่สิบเอ็ด ยุคทั่วไป คาดว่าอยู่ในบริเวณตอนตะวันออกเฉียงใต้ของอัฟกานิสถานและตอนเหนือของปากีสถาน ณ ตอนนั้น พุทธศาสนิกชนในพื้นที่นี้ต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามจากการบุกรุกที่อาจเกิดขึ้นโดยผู้ปกครองเมืองมุลตานทางตอนกลางของปากีสถาน ผู้ปกครองมุลตานนับถือชีอะห์อิสมาอีลียะห์ (Ismaili Shia) แบบทางตะวันออก จึงเป็นนิกายย่อยของศาสนาอิสลาม เมืองมุลตานเป็นพันธมิตรของเคาะลีฟะฮ์ฟาฏิมียะฮ์ในประเทศอียิปต์ ซึ่งเป็นคู่แข่งอาหรับอับบาซียะฮ์ในการเข้าควบคุมโลกมุสลิม พุทธศาสนิกชนและชาวฮินดูในอัฟกานิสถานตะวันออกเฉียงใต้และปากีสถานตอนเหนือจึงติดอยู่ท่ามกลางการแก่งแย่งชิงกันนี้
ตำรากาลจักรกล่าวถึงความเชื่อและธรรมเนียมบางประการของผู้ที่อาจเข้ามาบุกรุก ความเชื่อบางประการที่อธิบายไว้ดูเป็นความเชื่อเฉพาะของความคิดอิสมาอีลียะห์ในตอนนั้น เช่น รายชื่อของศาสดา ในขณะที่ความเชื่ออื่นขัดแย้งความคิดดังกล่าว เช่น การเพิ่มชื่อพระมณี (Mani) เข้าไปในรายชื่อนี้ในฐานะผู้ก่อตั้งศาสนามาณีกิ (Manichaeism) อย่างไรก็ตาม ความเชื่อส่วนใหญ่เหล่านี้เป็นพื้นฐานของศาสนาอิสลามโดยรวม ความเชื่อบางประการเกี่ยวกับพฤติกรรมทางจริยธรรมสอดคล้องกับการยืนยันเกี่ยวกับงวินัยทางจริยธรรมในพระพุทธศาสนา ถึงแม้ว่าในตำรานี้จะไม่ได้ระบุถึงความคล้ายคลึงกันของทั้งสองศาสนาก็ตาม กระนั้นแล้ว เราสามารถพิจารณาประเด็นเหล่านี้ในฐานะพื้นฐานร่วมกันระหว่างทั้งสองศาสนาได้ ยกตัวอย่างเช่น ในตำราชื่อ แก่นของตันตระเพิ่มเติมแห่งกาลจักรตันตระอันรุ่งโรจน์ (ทิเบต: dPal dus-kyi ‘khor-lo’i rgyud phyi-ma rgyud-kyi snying-po สันสฤต: Shri-Kalachakra-tantrottaratantra-hrdaya ) กล่าวไว้ว่า
พวกเขามีวรรณะเดียว ไม่ขโมย และพูดความจริง พวกเขารักษาความสะอาด เลี่ยงภริยาผู้อื่น ตามหลักของนักปฏิบัติพรตอย่างแน่วแน่ และคงความซื่อสัตย์ต่อภริยาของตนเอง
ในที่อื่น เราพบแนวทางแบบลัทธิรวมตัวมากขึ้น เมื่อตำรากาลจักรเริ่มอธิบายความเชื่อของผู้บุกรุกตามคำศัพท์ที่ใช้ในพระพุทธศาสนา ยกตัวอย่างเช่น ใน กาลจักรตันตระฉบับย่อของราชา (ทิเบต: bsDus-pa’i rgyud-kyi rgyal-po dus-kyi ‘khor-lo สันสกฤต: Laghu-Kalachakra-tantra-raja ) II.164cd ระบุไว้ว่า
ผู้สร้างสร้างทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งที่เคลื่อนไหวและไม่เคลื่อนไหว การทำให้พระองค์พอใจ ซึ่งเป็นสาเหตุสำหรับการหลุดพ้นสำหรับชาวตายิย่อมนำไปสู่สวรรค์ นี่ล่ะคือคำสอนของราห์มานต่อผู้คน
“ตายิ” (Tayi) เป็นชื่อที่ตำรากาลจักรใช้เรียกผู้บุกรุก เป็นคำศัพท์ภาษาอาหรับ (เปอร์เซียน: ตาซี ) ที่ใช้สำหรับผู้บุกรุกชาวอาหรับในอิหร่าน “ราห์มาน” คือผู้มีความเห็นอกเห็นใจ ซึ่งหมายถึงพระอัลเลาะห์นั่นเอง
ท่านปุณฑรีก (Pundarika) อธิบายข้อความตอนนี้ไว้เพิ่มเติมใน แสงที่ไร้รอยเปื้อน: คำวิจารณ์อธิบาย “กาลจักรตันตระฉบับย่อของราชา” (Stainless Light: A Commentary Explaining “The Regal Abridged Kalachakra Tantra ทิเบต: bsDus-pa’i rgyud-kyi rgyal-po dus-kyi ‘khor-lo’i ‘grel-bshad dri-ma med-pa’i ‘od สันสกฤต: Vimalaprabha-nama-laghu-Kalachakra-tantra-raja-tika )
ทีนี้สำหรับการยืนยันของผู้บุกรุกชาวตายี ราห์มาน ผู้สร้าง เป็นผู้ให้กำเนิดปรากฏการณ์แห่งการกระทำทุกอย่าง ทั้งแบบที่เคลื่อนไหวและไม่เคลื่อนไหว เหตุสำหรับการหลุดพ้นของตายี ซึ่งหมายถึงผู้บุกรุกที่นุ่งห่มขาวนั้น คือการทำให้ราห์มานพึงพอใจ และการกระทำเช่นนี้จะนำพาการเกิดใหม่ในภพที่สูงขึ้น (ในสรวงสวรรค์) มาสู่มนุษย์ การทำให้พระองค์ไม่พึงพอใจจะนำไปสู่ (การเกิดใหม่) ในนรก เหล่านี้คือคำสอนของราห์มาน ซึ่งเป็นการยืนยันของตายี
ท่านปุณฑรีกอธิบายเพิ่มเติมว่า
การยืนยันของผู้บุกรุกตายีคือ มนุษย์ที่เสียชีวิตแล้วจะประสบความสุข หรือความทุกข์ในการเกิดใหม่ที่สูงขึ้น (ในสรวงสวรรค์) หรือในนรก ด้วยร่างมนุษย์ของพวกเขาผ่านการตัดสินใจของราห์มาน
พื้นฐานร่วมกันในที่นี่ระหว่างพระพุทธศาสนาและความเข้าใจของพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับศาสนาอิสลามคือ การเกิดใหม่ในสวรรค์และในนรกที่ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมเชิงจริยธรรมของผู้นั้น สิ่งที่น่าสนใจในข้อความข้างต้นคือ ตำรากาลจักรไม่ได้แสดงความคิดเห็นต่อการถือว่ามีผู้สร้าง หรือบทบาทของผู้สร้างในการกำหนดชีวิตหลังความตาย โดยขึ้นอยู่กับว่าบุคคลผู้นั้นทำให้พระองค์พอใจหรือไม่ อนึ่ง สำหรับประเด็นสุดท้ายเกี่ยวกับการพิพากษาของพระอัลเลาะห์ โดยขึ้นอยู่กับว่าบุคคลนั้นทำให้พระองค์พึงพอใจหรือไม่ การนำเสนอของพระพุทธศาสนานั้นไม่ยุติธรรม ตาม หะดีษ (hadith คือ ชีวประวัติของมุฮัมมัดนั้น) พระอัลเลาะห์ตรัสว่า
โอ้ ผู้รับใช้ของข้า การกระทำของเจ้าต่างหากที่ข้าพิจารณาสำหรับเจ้า และจึงตอบสนองเจ้าตามนั้น
อย่างไรก็ตาม ตำรากาลจักรเน้นเพียงแต่ธรรมชาติของชีวิตหลังความตายและผลลัพธ์ที่ขึ้นอยู่กับการกระทำของผู้นั้นระหว่างที่มีชีวิตอยู่โดยรวม เมื่ออภิปรายประเด็นนี้ในลักษณะดังกล่าว ตำราเหล่านี้เผยให้เห็นถึงแนวทางรวมตัวสำหรับการระบุการยืนยันของผู้บุกรุกในเรื่องการเกิดใหม่อันเป็นนิรันดร์ ในฐานะมุมมองผิด ๆ ที่ได้รับการอธิบายไว้อย่างถูกต้องมากกว่าในพระพุทธศาสนา กาลจักรตันตระฉบับย่อของราชา II.174 กล่าวว่า
ในช่วงชีวิตหลังความตาย (อันเป็นนิรันดร์) ผู้นั้นจะประสบกับ (ผลลัพธ์ของ) การกระทำกรรมก่อนหน้านี้ในโลกนี้ หากเป็นเช่นนั้น การหมดสิ้นไปของกรรมของมนุษย์จากการเกิดชาติหนึ่งไปยังอีกชาติหนึ่งจะไม่เกิดขึ้น จะไม่มีการหลุดพ้นจากสังสารวัฏ และไม่มีการเข้าสู่การหลุดพ้น แม้แต่ในลักษณะของการดำรงอยู่ที่นับไม่ถ้วน ความคิดเช่นนั้นปรากฏอยู่ในกลุ่มชาวตายีจริง ๆ ถึงแม้ว่าจะถูกการปฏิเสธโดยกลุ่มอื่นก็ตาม
หากเราพิจารณาประเด็นนี้ที่เกี่ยวข้องกับการสาปแช่งชั่วนิรันดร์ภายในบริบทที่กว้างขึ้นของพระพุทธศาสนา พื้นฐานที่ร่วมกันระหว่างทิฐิแบบพุทธและแบบมุสลิมก็ดูขยายกว้างขึ้นเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม พื้นฐานดังกล่าวขยายกว้างขึ้น เพราะคุณสามารถมองจุดยืนของมุสลิมเรื่องการเกิดใหม่และการหลุดพ้นในฐานะขั้นบันไดไปสู่จุดยืนของชาวพุทธ ฉะนั้นตามการอธิบายของพระพุทธศาสนาแล้ว คุณอาจพูดได้ว่าศาสนาอิสลามพูดถึงแต่การหลุดพ้นจากการเป็นทุกข์ของความทุกข์ หรือจากสภาพการเกิดใหม่ที่แย่ลง การหลุดพ้นที่นี่คือ การเกิดใหม่ที่สูงขึ้นในสรวงสวรรค์ ท้ายที่สุดแล้ว จุดนี้ก็เป็นขอบเขตขั้นต้นของแรงจูงใจในลำดับเส้นทางการปฏิบัติลัม-ริม พระพุทธศาสนาเสริมโดยการพูดถึงการหลุดพ้นจากความทุกข์อันมากมายทั้งหมดของการเกิดใหม่ ซึ่งเป็นเป้าหมายของขอบเขตขั้นกลางของแรงจูงใจ เมื่อพิจารณาในลักษณะนี้แล้ว การนับถืออิสลามจึงเป็นขั้นต้นของการนับถือพระพุทธศาสนา
แต่คุณสามารถมองการยืนยันของมุสลิมว่าความทุกข์เป็นนิรันดร์ในทางอื่นได้เช่นกัน เพื่อที่ทิฐินี้จะได้ไม่แตกต่างจากทิฐิของพระพุทธศาสนามากนัก ในตำรากาลจักร การแย้งแนวคิดเรื่องนรกของมุสลิมคือ เมื่อใดที่อยู่ในไฟนรกแล้ว สภาวะนั้นเป็นนิรันดร์และคุณไม่สามารถหลุดพ้นจากสภาวะนั้นได้ แต่ถ้าเรามองคำอธิบายเรื่องสังสารวัฏของพระพุทธศาสนา ผู้ที่อยู่ในสังสารวัฏนี้ต้องการที่จะหลุดพ้นจากมัน เหมือนการหนีออกจากอาคารไฟไหม้ นอกจากนี้ การเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏจะเป็นนิรันดร์ นอกเสียจากว่าผู้นั้นลงมือกระทำบางอย่าง นั่นก็คือการหันเข้าพึ่งพาธรรมมะนั่นเอง
ในศตวรรษที่สิบเก้า ปรมาจารย์ชาวเนียงม่านามว่า มิพัม (Mi-pham ‘Jam-dbyangs rnam-rgyal rgya-mtsho ) ในตำรา ไฟส่องสว่างของดวงอาทิตย์วัชระ, การอธิบายความหมายของคำกล่าวใน “กาลจักรตันตระอันรุ่งโรจน์”: คำวิจารณ์สำหรับบท (ที่ห้า), ความตระหนักรู้ลึกซึ้ง (dPal dus-kyi ‘khor-lo’i rgyud-kyi tshig don rab-tu gsal-byed rdo-rje nyi-ma’i snang-ba, Ye-shes le’u’i ‘grel-chen ) มีการใช้แนวทางการรวมตัวที่ชัดเจนกว่างานเขียนกาลจักรดั้งเดิมอีก โดยบอกใบ้ว่า พระพุทธเจ้าใช้ความฉลาดในอุบายในการทรงสอนวิธีการต่าง ๆ สำหรับนำทางชาวมุสลิมไปสู่การตรัสรู้ ท่านมิพัมได้เขียนไว้ว่า
ผู้บุกรุกที่ไม่ใช่ชาวอินเดียเชื่อถือ (ประเด็นเชิงปรัชญา) สองประการ พวกเขาเชื่อว่าปรากฏการณ์ภายนอกมีธรรมชาติของการรวมตัวกันของอะตอมทั้งหลาย และพวกเขาเชื่อการดำรงอยู่ของตัวตนของบุคคลผู้หนึ่งที่กำเนิดเป็นระยะเวลาชั่วคราว หรือมีด้านการกำเนิดในสังสารวัฏ เป้าหมายคือการบรรลุความสุขของพระเจ้าเป็นผล นอกจากนี้แล้ว พวกเขาไม่ยืนยันเรื่องนิพพานประเภทอื่น ๆ
ท่านมิพัมชี้ให้เห็นว่าการยืนยันของผู้บุกรุกเรื่องธรรมชาติเชิงอะตอมของสิ่งต่าง ๆ นั้นสอดคล้องกับความเชื่อทางพระพุทธศาสนา ท่านอธิบายว่านิกายไวภาษิกะ (Vaibhashika) และเสาตรานติกะ (Sautrantika) ของพระพุทธศาสนาสายหินยานยืนยันเรื่องอะตอมไร้ชิ้นส่วนที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้ ในขณะที่นิกายจิตตมาตร (Chittamatra) และมัธยมกะ (Madhyamaka) ของพระพุทธศาสนาสายมหายานยืนยันเรื่องอะตอมที่แบ่งแยกได้ไม่จบไม่สิ้น
สำหรับเรื่องเกี่ยวกับอัตตา หรือวิญญาณ ท่านมิพัมกล่าวต่อไปว่า
เมื่อทรงทราบลักษณะนิสัยและความคิดของพวกเขาแล้ว พระพุทธเจ้าทรงสอนพระสูตรที่พวกเขา (ผู้บุกรุก) สามารถยอมรับได้ ยกตัวอย่างเช่น ใน พระสูตรแห่งการแบกความรับผิดชอบ ( The Sutra of Carrying Responsibility หรือ Khur ‘khu-ba’i mdo ) พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ผู้ที่แบกความรับผิดชอบ (สำหรับการกระทำ) มีดำรงอยู่จริง แต่ไม่ได้ทรงกล่าวถึงวิญญาณของผู้นั้นในฐานะสิ่งที่เป็นถาวร หรือไม่ถาวร ประเด็นเหล่านี้เป็นความจริงตามการยืนยันของพวกเขา (ผู้บุกรุก) ความหมายที่พระพุทธเจ้าทรงตั้งใจสื่อคือ คนเราดำรงอยู่ในการดำรงต่อไปของอัตตาที่แบกความรับผิดชอบสำหรับ กรรม ซึ่งเป็นเพียงแต่การใส่ความที่ความต่อเนื่อง และไม่ได้เป็นสิ่งถาวร หรือไม่ถาวรโดยธรรมชาติ
สำหรับเรื่องของความฝัน ซึ่งเพียงแต่เกิดขึ้นจากนิสัยต่าง ๆ ของจิต บุคคลที่เป็นตัวเป็นตนประสบความสุขและความเศร้าไม่ได้ดำรงอยู่จริง เนื่องจากเรื่องนี้เป็นแค่รูปลักษณ์ภายนอก ความอนิจจัง (ของบุคคลนั้น) ในกรณีนี้จึงไม่เหมือนกับธรรมชาติของสิ่งที่อนิจจังด้วยซ้ำ นี่เป็นเพราะว่ามันปราศจากธรรมชาติของบุคคลนั้น เมื่อได้พิจารณาตรวจสอบแล้ว จึงเห็น (ได้อย่างชัดเจน) ว่าเป็นวัตถุที่ปราศจากการสอดแทรกของถาวร หรืออนิจจัง จึงสอนในแบบนั้น ด้วยหลักคำสอนบทนี้ของพระตถาคต (ผู้บุกรุก) จึงละเลิกพระธรรมของผู้บุกรุก และกลายเป็นไวภาษิกะถือระบบหนึ่งของพระพุทธศาสนาแทน
ทัศนคติการรวมตัวในที่นี้คือ พระพุทธเจ้าทรงตรัสหลักคำสอนที่สามารถสอดคล้องกับการยืนยันของผู้บุกรุกได้ และด้วยการใช้ความฉลาดในอุบายนี้ พระองค์ทรงนำผู้บุกรุกไปสู่การหลุดพ้น แน่นอนว่าชาวมุสลิมจะต้องเห็นว่านี่เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ และทัศนคติดังกล่าวจะไม่สามารถนำไปสู่ความสามัคคีระหว่างศาสนาได้อย่างแน่นอน