จากรากฐานความถูกต้องของความจริงสองประการนี้ พระพุทธเจ้าทรงสามารถเข้าพระทัยและบัญญัติอริยสัจสี่ บรรทัดที่สองแสดงให้เห็นถึงเรื่องนี้:
เราเกิดความเชื่อมั่นจากอริยสัจสี่ว่า เราล้วนก้าวเข้าสู่ แต่ก็ก้าวออกมาจากการเวียนว่ายตายเกิดที่ไม่อาจควบคุมได้นี้อยู่เสมอ
อริยสัจสี่เป็นสิ่งที่เห็นชอบแล้วว่าเป็นเรื่องจริงจากผู้ตระหนักรู้ขั้นสูง ประเด็นนี้น่าสนใจ เพราะตรงนี้หมายความว่า ไม่ใช่มีแต่เหล่าพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ทรงเห็นว่าสัจธรรมเหล่านี้เป็นเรื่องจริงแท้ แม้แต่ผู้ที่บรรลุถึงขั้นใดขั้นหนึ่งก่อนพุทธภาวะ ซึ่งจริง ๆ ยังเหลืออีกหลายขั้นมากกว่าจะถึงพุทธภาวะ ก็เห็นชอบเช่นกัน ตรงนี้เกิดขึ้นเมื่อเรามีการรับรู้เชิงไร้มโนทัศน์เรื่องสุญญตา หรือหากกล่าวอีกทางก็คือความเป็นจริงล้ำลึกสูงสุดนั่นเอง ความเข้าใจเช่นนี้มีความถูกต้องแม่นยำและแน่วแน่เด็ดขาดอย่างสมบูรณ์ เมื่อเป็นเชิงไร้มโนทัศน์จึงหมายความว่า เราไม่ได้รับรู้สิ่งต่าง ๆ จากการจัดแยกประเภท
เมื่อเราคิดโดยอาศัยการจัดแยกประเภท เช่นว่า “สุนัข” คุณมีสิ่งที่เป็นสื่อนำเสนอถึงสุนัข การนำเสนอเช่นนี้อาจแตกต่างกันเล็กน้อยในรายบุคคล แต่เวลาเราเห็นสุนัขตามถนน หรือที่ใดก็ตาม เรารับรู้ถึงมันผ่านการจัดแยกประเภทนี้ จากภาพของสุนัขที่เรามีอยู่ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นภาพที่เห็นได้จริง ๆ เราจึงร้อยต่อการรับรู้เกี่ยวกับสุนัขเข้าด้วยกัน เวลาเรารับรู้สิ่งที่เป็นเชิงไร้มโนทัศน์ มันเป็นการรับรู้ที่ปราศจากตัวกรองของประเภทต่าง ๆ หรือสิ่งที่เป็นสื่อนำเสนอมัน จึงเป็นเหตุผลที่เรียกว่า “การรับรู้เฉย ๆ (bare cognition)” คุณรับรู้สิ่งต่าง ๆ โดยไม่จัดแยกมันตามกล่องประเภทต่าง ๆ
ผู้มีความตระหนักรู้ขั้นสูง หรือ อริยบุคคล ในภาษาสันสกฤตนั้น รับรู้ความเป็นจริงโดยไม่จัดแยกสิ่งต่าง ๆ ตามกล่องประเภท “ความเป็นจริง” เช่นว่า “ตอนนี้ฉันมองเห็นความเป็นจริงอยู่” พวกเขาเข้าใจอย่างสมบูรณ์ ถูกต้องแม่นยำและแน่วแน่แท้จริงในสิ่งที่ตนเองรับรู้อยู่ นั่นคือ ความเป็นจริง โดยไม่ต้องจัดสิ่งนั้นใส่ในกล่อง หรือประเภทใด ๆ นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงแม้เราจะไม่ได้กล่าวออกมาเป็นคำพูดว่าเราจัดสิ่งเหล่านั้นลงไปในกล่องใด มันก็ยังเป็นลักษณะเดิมที่เรารับรู้ทุกสิ่ง เราจับทุกสิ่งอย่างใส่เข้าไปในกล่องทั้งหลายราวกับว่าทุกสิ่งอย่างนั้นดำรงอยู่ในกล่องด้วยตัวของมันเองเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวร้อยพันกับสิ่งอื่นใดเลย
ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรับรู้เชิงมโนทัศน์ ประเด็นก็คือว่า คุณไม่ต้องเป็นพระพุทธเจ้าในการรับรู้ความเป็นจริงในลักษณะนี้ เมื่อเรารับรู้ความเป็นจริงในเชิงไร้มโนทัศน์ เราย่อมเห็นว่าอริยสัจสี่เป็นเรื่องถูกต้องแท้จริง และย่อมเชื่อมั่นในเรื่องนี้
ความจริงทั้งที่ประการที่ว่านี้คืออะไร ข้อแรก คือ ทุกข์ (ทุกข์) ข้อสอง คือ เหตุแห่งทุกข์ (สมุทัย) ข้อสาม คือ การดับทุกข์และเหตุแห่งทุกข์ (นิโรธ) ข้อสี่ คือ หนทางหรือความเข้าใจที่จะนำเราไปสู่การดับทุกข์ (มรรค) สิ่งเหล่านี้เรียกว่าความเป็นจริงโดยหมายถึง “ทุกข์ที่แท้จริง” “เหตุที่แท้จริง” และอื่น ๆ
การอภิปรายทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้บริบทของการเกิดใหม่ อันหมายถึง การไร้ซึ่งจุดกำเนิดและความต่อเนื่องทางจิตที่ไม่รู้สิ้นสุด การเกิดใหม่เป็นรากฐาน เราได้พูดถึงการประสบสิ่งใด ๆ ทั้งหลายในชั่วขณะหนึ่งแล้ว ซึ่งหากเป็นไปตามลักษณะของเหตุและผล ย่อมปราศจากจุดกำเนิดที่แน่แท้โดยเริ่มจากการไม่มีสิ่งใด เฉกเช่นเดียวกัน สิ่งเหล่านี้ย่อมไม่อาจมีช่วงเวลาสุดท้ายที่มันกลับกลายเปลี่ยนเป็นการไม่มีสิ่งใดแน่ ๆ มันเป็นไปไม่ได้เลย เพียงแค่พิจารณาจากพื้นฐานของเหตุและผล เราย่อมต้องสรุปว่าความต่อเนื่องทางจิตของแต่ละอย่างนั้นปราศจากจุดเริ่มต้นหรือจุดจบ และดังนั้นการเกิดใหม่ย่อมเป็นเรื่องจริง
ทุกข์ที่แท้จริง
ทุกข์ที่แท้จริงประกอบด้วยสามประเภทด้วยกัน:
- ประเภทแรก คือ ความทุกข์ทั่วไป ซึ่งเราเรียกว่า ทุกข์แห่งทุกข์ พวกเราล้วนประสบกับความทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น ความทุกข์ไม่เหมือนกับความเจ็บปวดเสมอไป ความสุขกับความทุกข์ และ ความอภิรมย์กับความเจ็บปวดเป็นสองชุดที่แตกต่างกัน ความอภิรมย์กับความเจ็บปวดเป็นสัมผัสทางกาย ในขณะที่ความสุขและความทุกข์เป็นสภาวะทางจิตใจ บางคนอาจประสบกับความเจ็บปวด แต่รู้สึกสุขใจกับสิ่งนั้น เช่น หลังจากการออกกำลังอย่างหนักหน่วง ในขณะที่บางคนอาจประสบกับความอภิรมย์ แต่รู้สึกไม่เป็นสุขกับสิ่งนั้นเอามาก ๆ เช่น เมื่อโดนบังคับมีเพศสัมพันธ์ ดังนั้นทั้งสองสิ่งนี้จึงเป็นตัวแปรที่ต่างกัน ตรงนี้เราพูดถึงความสุขที่พวกเราทุกคนรู้จัก ซึ่งได้รับการอธิบายในลักษณะของประเภทการเกิดใหม่ที่แย่กว่าอันเต็มไปด้วยทุกข์นานาประเภท
- ประเภทที่สองเรียกว่า ทุกข์แห่งความเปลี่ยนแปลง และหมายถึงความสุขเชิงสามัญของเรา ปัญหาของความสุขเชิงสามัญ คือ มันไม่เคยคงอยู่ยืนยง หรือทำให้เราพึงพอใจเลย เราต้องการเพิ่มเติมอยู่เสมอ แต่หากเราต้องการมากเกินไป เราอาจรู้สึกรำคาญใจและสิ่งนี้ก็เปลี่ยนเป็นความทุกข์แทน ตัวอย่างง่าย ๆ คือ การทานอาหารจานโปรดของคุณมากเกินไป ซึ่งทำให้คุณรู้สึกเอียน จากนั้นคุณก็ไม่อยากจะทานอีกแล้วและรู้สึกไม่มีความสุข ดังนั้นปัญหาก็คือ ความสุขเชิงสามัญของเราไม่เป็นที่น่าพึงพอใจ หรือมั่นคง ชีวิตสามัญของเรามีขึ้นมีลง เดี๋ยวก็สุขเดี๋ยวก็ทุกข์ แต่ตรงนี้ไม่มีความมั่นคงปลอดภัยเลย หากเป็นเรื่องของสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวเราแล้ว เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าเราจะรู้สึกอย่างไรในช่วงเวลาถัดไป จู่ ๆ เราอาจรู้สึกไม่มีความสุข หรือเบื่อหน่าย หรือหดหู่ มันขึ้นลง ๆ เช่นนี้ต่อไป
- ทุกข์ประเภทที่สามเรียกว่า ทุกข์ที่แผ่คลุ้งซ่าน และเป็นรากฐานของการประสบกับความขึ้นลงของความทุกข์และความสุขเชิงสามัญของเรา รากฐานนี้ คือ การดำรงอยู่ หรือ การเกิดใหม่ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างควบคุมไม่ได้ ซึ่งในภาษาสันสกฤตเรียกว่า สังสารวัฏ เรายังคงเกิดใหม่แล้วเกิดใหม่อีกอยู่เรื่อย ๆ ด้วยประเภทของร่างกายและจิตที่เป็นรากฐานของการประสบกับความขึ้นลง หรือความสุขทุกข์เชิงสามัญของชีวิต เช่นนี้คือทุกข์ที่แท้จริง เป็นปัญหาที่แท้จริงของเรา นี่เป็นทุกข์ประเภทหลักที่เราจะประจักษ์ได้หากเรามองเห็นความเป็นจริง
เหตุแห่งทุกข์ที่แท้จริง
หากคุณมองเห็นความเป็นจริง คุณจะเห็นได้ว่าสัจธรรมที่เราประสบกับความขึ้นลงด้วยรากฐานที่ดำเนินต่อไปเรื่อยอย่างไร้จุดสิ้นสุดนี้เป็นเรื่องจริงเช่นกัน เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว เราย่อมเข้าใจว่ามันต้องมาจากเหตุ ประเด็นหลักของความจริงสัมพัทธ์ คือ ทุกสรรพสิ่งล้วนอุบัติขึ้นจากเหตุ แล้วเหตุแท้จริงที่ทำให้เราก้าวเข้าสู่การเวียนว่ายตายเกิดอันไม่รู้จบสิ้นตามที่ระบุไว้ในบทนี้คืออะไรกัน หากกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ มันเกิดขึ้นได้ยังไง อะไรเป็นสาเหตุสำหรับการยืดเวลาวัฏจักรซ้ำเดิมนี้ให้ดำเนินไปอย่างไม่จบสิ้น
ในคาบก่อน เราได้เห็นแล้วว่าหากเราประสบกับความทุกข์ นั่นเป็นผลลัพธ์ของพฤติกรรมเชิงโทษ และหากเราประสบกับความสุขเชิงสามัญ นั่นเป็นผลลัพธ์ของพฤติกรรมเชิงประโยชน์ ตรงนี้เราเพิ่มเรื่องกรรม ซึ่งผมมักแปลว่า แรงผลักดัน ดังนั้นเรามีพฤติกรรมผลักดันเชิงโทษ และ พฤติกรรมผลักดันเชิงประโยชน์ ตรงนี้ไม่เหมือนกับพฤติกรรมเชิงประโยชน์ของพระพุทธเจ้า แต่เป็นพฤติกรรมที่ได้รับแรงผลักดัน ซึ่งเราถูกผลักดันให้ทำดีจากอัตตาของเรา หรือถูกผลักดันว่าเราต้องสมบูรณ์แบบและต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้อง เป็นสิ่งที่ชวนให้ปวดประสาทอยู่พอสมควร
หากเรากระทำในเชิงหุนหันพลันแล่น นั่นเป็นเพราะว่าเราตกอยู่ใต้อิทธิพลของอารมณ์และทัศนคติรบกวน ซึ่งเราได้อธิบายไปแล้วในเรื่องพฤติกรรมผลักดันเชิงโทษ ด้วยโทสะเราจึงปลิดชีพผู้อื่น ด้วยความโลภเราจึงขโมยของ ด้วยความไร้เดียงสาเราจึงคิดว่าการกระทำของเราไม่ก่อให้เกิดผลใด ๆ ตามมา ราวกับว่า “ฉันไม่โดนจับอยู่แล้ว ไม่เป็นไรหรอก การลักขโมยก็น่าสนุกดีออก!”
สิ่งที่หนุนหลังพฤติกรรมผลักดันเชิงโทษเช่นนี้ คือ การขาดความตระหนักรู้ ซึ่งเป็นศัพท์ที่มักแปลว่า “อวิชชา” แต่ไม่ได้หมายความว่าเราโง่เขลา เพียงแต่เราสับสนเท่านั้น เราขาดความตระหนักรู้เรื่องอะไรหรือ ก่อนอื่นเราขาดความตระหนักรู้เรื่องเหตุและผล ซึ่งหากเราเข้าใจและเชื่อมั่นเรื่องนี้อย่างแท้จริงแล้ว เราย่อมไม่อาจกระทำตัวเชิงโทษได้ เราย่อมรู้ด้วยสัญชาตญาณว่า การทำเช่นนี้จะลงเอยด้วยการทำให้เกิดทุกข์แก่ตนเอง ซึ่งไม่ใช่การลงโทษ เพียงแต่เป็นผลลัพธ์ของเหตุที่เราสร้างขึ้น
จริง ๆ แล้ว การขาดความตระหนักรู้มีสองประเภท เราไม่รู้ว่าการกระทำเชิงโทษย่อมนำไปสู่ความทุกข์ในที่สุด หรือไม่เราก็คิดในทางกลับกัน เช่นว่า “หากฉันกระทำเชิงโทษ มันจะนำความสุขมาสู่ฉัน หากฉันลักขโมยสิ่งที่อยากได้ มันจะทำให้ฉันมีความสุข หากฉันฆ่าศัตรูทิ้งเสีย มันจะทำให้ฉันมีความสุข” ถึงแม้ว่าเราอาจรู้สึกเป็นสุขทันทีหลังการกระทำเชิงโทษ เช่นว่า “เย่ ฉันตบยุงตัวนั้นตายแล้ว ตอนนี้ฉันก็สบายได้สักที!” ถึงอย่างนั้นแล้ว ผลที่เกิดขึ้นตามมาในระยะยาวคือ ความรู้สึกไม่มีความสุขไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ซึ่งเกิดจากพฤติกรรมเชิงโทษแบบนี้นั่นเอง ดังนั้น พฤติกรรมเชิงโทษจึงมาจากการขาดความตระหนักรู้เรื่องเหตุและผล หรืออีกนัยหนึ่งคือ การขาดความตระหนักรู้เรื่องความจริงสัมพัทธ์ ผมจะไม่เสแสร้งว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายดาย เพราะมันไม่จริงเลย แต่นี่เป็นสิ่งที่เราฝึกฝนได้
หากเราสรุปประเด็นนี้ เหตุผลที่เรามักรู้สึกเป็นทุกข์เป็นเพราะเรายังไม่เข้าใจเรื่องเหตุและผล เมื่อจิตของเราเต็มไปด้วยความโกรธ ความโลภ ความหลงและอื่น ๆ นั้น ย่อมนำเราไปสู่การกระทำผลักดันในลักษณะที่เป็นโทษ จริง ๆ แล้วนี่เป็นการทำลายตนเอง เพราะผลลัพธ์ที่ได้ คือ เรารู้สึกไม่มีความสุขอยู่เป็นส่วนใหญ่ เช่นนี้คือสิ่งที่เราต้องเชื่อมโยงเข้าหากันให้ได้
ความสุขที่เราประสบนั้นก็มาจากการขาดความตระหนักรู้เช่นกัน แต่ในกรณีนี้คือการขาดความตระหนักรู้ของความจริงล้ำลึกสูงสุดของสรรพสิ่ง หากกล่าวให้แม่นยำกว่านี้คือ เราต้องบอกว่าการขาดความตระหนักรู้รองรับทั้งพฤติกรรมเชิงประโยชน์และเชิงโทษ สำหรับพฤติกรรมเชิงโทษ เราขาดความตระหนักรู้ทั้งความจริงล้ำลึกสูงสุดและความจริงสัมพัทธ์ สำหรับพฤติกรรมเชิงประโยชน์ เราเพียงแต่ขาดความตระหนักรู้เรื่องความจริงล้ำลึกสูงสุด เรามีเสียงประเภทหนึ่งในหัวที่คอยบอกว่า “ฉันจะทำยังไงดี ฉันอยากให้มันเป็นไปตามต้องการ! ฉันกังวลจัง” ดูเหมือนว่าจะมี “ตัวฉัน” ตัวน้อย ๆ ที่คลำพบได้จริงเป็นคนบ่นและกังวลเช่นนั้น เมื่อเราขาดความตระหนักรู้เรื่องวิธีการดำรงอยู่ของเรา เราจึงขาดความตระหนักรู้เรื่องความเป็นจริง และเราระบุตัวตนด้วยการแสดงภาพมายาของ “ตัวฉัน” และพยายามจะสร้างความมั่นคงให้กับตัวเรา แน่นอนว่าเราไม่อาจทำได้สำเร็จเลย
กลไกอย่างหนึ่งที่เราใช้ในการพยายามทำให้ “ตัวฉัน” น้อย ๆ ในจินตนาการมีความมั่นคงขึ้น คือ การใช้อารมณ์รบกวนของเรา เรารู้สึกว่า “ถ้าฉันได้สิ่งนั้น ๆ มา ฉันจะต้องรู้สึกมั่นคงแน่” เราจึงมีความโลภ ความยึดติด และความหลง จากนั้นเรารู้สึกว่า “ถ้าฉันเอาสิ่งนั้น ๆ ออกไปจากฉันได้ ฉันจะต้องรู้สึกมั่นคงแน่” เราจึงมีความโกรธและเกลียดชัง หรือเราอาจไร้เดียงสาและคิดว่า “ถ้าฉันทำเป็นว่าสิ่งที่คุกคามฉันอยู่นั้นไม่มีอยู่จริง ฉันจะต้องรู้สึกมั่นคงแน่” จากรากฐานนี้เรามีพฤติกรรมเชิงโทษเช่นกัน เหมือนเวลาที่เราละเลยระดับความเครียดที่เพิ่มขึ้น จากรากฐานความโกรธ เราจึงตะโกน ทำร้าย แม้กระทั่งเข่นฆ่าผู้อื่น ด้วยความโลภ เราลักขโมย หรือปฏิบัติพฤติกรรมทางเพศเชิงไม่เหมาะสมที่ทำร้ายผู้อื่น ด้วยความไร้เดียงสา เรากลายเป็นคนบ้างาน รับประทานอาหารไร้ประโยชน์ต่อสุขภาพและไม่ออกกำลังกาย ดังนั้นทั้งหมดนี้จึงมาจากความไร้เดียงสาเกี่ยวกับความจริงล้ำลึกสูงสุด นั่นคือ วิธีการดำรงอยู่ของเรา กอปรกับเรื่องเหตุและผล
สำหรับพฤติกรมเชิงประโยชน์ ถึงแม้ว่าจะไม่มีรากฐานของอารมณ์รบกวนก็ยังมีความไร้เดียงสาดังกล่าวเป็นตัวหนุนทั้งหมดอยู่นั่นเอง เราพยายามจะพิสูจน์ หรือแสดงให้เห็นถึงการดำรงอยู่ของเราด้วยการเป็นคนสมบูรณ์แบบ หรือเป็นคนดี ด้วยการเป็นพ่อแม่ที่ดีที่สุด หรืออะไรก็ตาม เช่นว่า “นี่จะทำให้ ‘ตัวฉัน’ น้อย ๆ ในหัวรู้สึกมั่นคง” ซึ่งไม่เคยสำเร็จเลย เราไม่เคยรู้สึกมั่นคงเลย ถึงแม้ว่าเราจะรู้สึกเป็นสุขบ้างจากการช่วยเหลือผู้อื่น มันยังคงเป็นความสุขเชิงสามัญและย่อมไม่คงอยู่ เราไม่มีทางพึงพอใจกับมันเลย เพราะเราย่อมรู้สึกว่าเราไม่ดีพออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ว่าเราไม่สมบูรณ์แบบพอ เรายังจะรู้สึกว่าเราต้องพิสูจน์อะไรบางอย่าง เห็นได้ชัดเจนว่าทั้งหมดนี้ตั้งอยู่บนรากฐานของการขาดความตระหนักรู้เรื่องวิธีการดำรงอยู่ของเราในระดับล้ำลึกสูงสุด
สำหรับทุกข์ประเภทที่สาม ซึ่งเป็นรากฐานของการประสบความขึ้นลงของความทุกข์และความสุขเชิงสามัญ เรามีแบบแผนที่ซับซ้อนมาก เรียกว่า “ปฏิจจสมุปบาทสิบสอง (การอุบัติขึ้นพร้อมกันของความเชื่อมโยงทั้งสิบสอง)” ซึ่งผมขอไม่ลงรายละเอียด ณ ที่นี่ แต่สิ่งนี้เกี่ยวกับวิธีการทำงานของกรรม
หากกล่าวอย่างเรียบง่ายที่สุด กรรม หมายถึง แรงผลักดัน ซึ่งเป็นรากฐานให้เรากระทำการในลักษณะต่าง ๆ ในเชิงโทษและประโยชน์ การถูกผลักดันในที่นี้มีความหมายว่าอย่างไร การถูกผลักดันมีความหมายเชิงนัยยะ หมายถึง การที่คุณไม่สามารถควบคุมสิ่งสิ่งหนึ่งได้เท่าไรนัก เช่น คนที่เคาะนิ้วอย่างไม่หยุดหย่อน ตรงนี้อุบัติขึ้นจากความรู้สึกอยากทำบางสิ่งบางอย่าง ในภาษาทิเบตเพียงหมายความว่า “ฉันอยากทำสิ่งนี้ ฉันปรารถนาว่าฉันจะทำมัน ฉันชอบทำมัน” เหมือนกับความรู้สึกอยากตะโกน หรือกอด หรือรับประทาน จากนั้นจึงมีปัจจัยของแรงผลักดันเข้ามา เราจึงกระทำเช่นนั้น กล่าวง่าย ๆ คือ ตรงนี้สั่งสมแนวโน้มบางประเภทในการทำการกระทำเช่นนั้นซ้ำอีก และ แนวโน้มในการประสบกับความทุกข์หากเป็นการกระทำเชิงโทษ และความสุขหากเป็นการกระทำเชิงประโยชน์ แนวโน้มนี้ได้รับการกระตุ้น ณ จุดใดจุดหนึ่ง ด้วยเงื่อนไขบางอย่าง มันสุกงอมขึ้น จากนั้นเราจึงรู้สึกเป็นสุข หรือรู้สึกเป็นทุกข์ หรือรู้สึกอยากตะโกนอีกรอบ หรือรู้สึกอยากโอบกอดอีกครั้ง
เช่นนี้เป็นแบบแผนที่ยืดเวลาอยู่เป็นนิตย์และดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ เพราะว่าเราประสบกับความปรารถนาที่จะดำเนินพฤติกรรมประเภทนี้ต่อไปอยู่เสมอ รูปแบบของพฤติกรรมนี้จึงเกิดขึ้นย้ำทวนซ้ำไม่รู้จบ เพราะเราผลักดันและสร้างความแข็งแกร่งให้มันอยู่เสมอ ดังนั้นเราจึงประสบกับความขึ้นลงของความสุขและความทุกข์เช่นนี้อยู่เสมอ
สำหรับตรงนี้ คำถามที่เกี่ยวข้องมากที่สุด คือ แนวโน้มเหล่านี้ได้รับการกระตุ้นให้ผลิตผลลัพธ์ที่ทำให้เรารู้สึกอยากทำพฤติกรรมนั้นซ้ำอีกได้อย่างไร จุดนี้ได้รับการอธิบายไว้อย่างสง่างามในการเชื่อมโยงทั้งสิบสอง ถึงแม้ว่ามันจะซับซ้อนมากก็ตาม เรามีความขึ้นลงเช่นนี้อยู่เสมอและไม่จำเป็นต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร แม้แต่เวลาเรานอนหลับ บางทีเราอาจอยู่ในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น ซึ่งทำให้เรานอนหลับได้ไม่ดีและรู้สึกไม่เป็นสุขนัก ถ้าอย่างนั้นสภาวะของจิตยามที่เราประสบความทุกข์และความสุขเชิงสามัญเป็นอย่างไร คำภาษาสันสฤตสำหรับสภาวะนี้ คือ ตฺฤษฺณา (ตัณหา) ซึ่งหมายถึง “ความกระหาย” มักแปลว่า “ความโหย” แต่คำศัพท์เดิมหมายถึงความกระหาย
กล่าวง่าย ๆ คือ เวลาเราประสบกับความทุกข์ เรากำลังกระหายอย่างมากที่จะกำจัดมันออก เหมือนกับการที่คุณอยากกำจัดอาการกระหาย เมื่อเราประสบกับความสุข เราก็ไม่ต้องการจะแยกออกจากมัน ทั้งยังกระหายอยากได้เพิ่ม มันก็เหมือนกับเวลาที่คุณกระหายน้ำมากจริง ๆ และอยากจะดื่มน้ำอึกแรก คือแค่นั้นมันไม่พอใช่ไหมครับ คุณไม่ต้องการจะแยกออกจากมัน แต่อยากได้มากขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นสิ่งที่เกิดขึ้น คือ การไขว่คว้าหาตัวตนของฉันที่มั่นคง ซึ่งเราคิดว่า “ฉันต้องกำจัดความทุกข์นี้ออก” “ฉันต้องไม่ให้ความสุขนี้จากไป” ซึ่งตรงนี้กระตุ้นแนวโน้มทางกรรมให้ทำงาน นี่เป็นเหตุที่แท้จริงของทุกข์ที่แผ่คลุ้งซ่านทุกแห่งหน ดังนั้น แนวโน้มในการประสบกับความสุขและความทุกข์และอื่น ๆ จึงมาจากพฤติกรรมหุนหันพลันแล่นของเรากอปรกับอารมณ์รบกวน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดจากการขาดความตระหนักรู้เรื่องความเป็นจริงในระดับล้ำลึกสูงสุดของเรา อันหมายถึง วิธีการดำรงอยู่ของความรู้สึกเรา (มันเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกเมื่อ) และ วิธีการดำรงอยู่ที่แท้จริงของเรา (ไม่ใช่ตัวตนมั่นคงที่คลำพบได้ในหัวเรา ซึ่งเราคิดไปว่าสามารถทำให้มั่นคงได้ด้วยการไขว่คว้า)
การขาดความตระหนักรู้นี้เป็นเหตุขั้นพื้นฐาน และเชื่อมโยงกับทั้งพฤติกรรมเชิงประโยชน์และเชิงโทษ มันเป็นตัวสร้างปัญหาตัวจริงที่ก่อให้เกิดแนวโน้มต่าง ๆ ของการเป็นสุข เป็นทุกข์ และย้ำทำพฤติกรรมของเรา ของการดำรงอยู่ หากเราพิจาณาความกระหายดังกล่าวนี้ ทุกอณูของมันเชื่อมโยงกับการขาดความตระหนักรู้เรื่องการดำรงอยู่ของเรานั่นเอง เราคิดว่า “ฉันเป็น ‘ฉัน’ เป็นคนเดียวที่สำคัญ ดังนั้นฉันจึงต้องไม่แยกห่างจากความสุขนี้ การที่ฉันไม่เป็นทุกข์นั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก” แทนที่จะคิดว่า “โอเค ฉันมีความสุข หรือมีความทุกข์…แล้วอย่างไรเล่า” เหตุที่แท้จริงของการที่เรายืดเวลาการเวียนว่ายตายเกิดที่ไม่อาจควบคุมได้อย่างต่อเนื่องของเรา คือ การขาดความตระหนักรู้เรื่องความจริงสองประการนี้เท่านั้นเอง
การดับเหตุแห่งทุกข์ที่แท้จริง
ความจริงประการที่สาม คือ การดับทุกข์ที่แท้จริง ซึ่งเป็นการทำให้เหตุแห่งทุกข์ทั้งหมดนั้นจบสิ้น จึงทำให้ความทุกข์หยุดลงด้วยเช่นกัน การขจัดการขาดความตระหนักรู้เรื่องความเป็นจริงนี้ออกตลอดกาลจะเป็นไปได้อย่างไรกัน เมื่อคุณรับรู้ถึงสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงแล้วจึงไม่มีรากฐานสำหรับสิ่งนั้น มันไม่สอดคล้องกับความจริงใด ๆ เลย ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดคงสิ่งนั้นไว้ได้
ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่คุณมีฉากฉากหนึ่งในโปรดัคชั่นละครเวที ฉากนั้นย่อมมีไม้ต่าง ๆ มาหนุนให้ฉากตั้งอยู่ได้ ศัพท์ภาษาทิเบตของสิ่งนี้หมายถึงว่า ไม่มีสิ่งใดเหมือนไม้เหล่านี้ที่หนุนการแสดงภาพสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ของเรา เมื่อไร้สิ่งใดมาหนุนฉากแล้วเกิดอะไรขึ้น มันก็ล้มลงอย่างไรล่ะ
เมื่อคุณสามารถตั้งจิตอยู่ในสัจธรรมที่ว่าไม่มีสิ่งใดหนุนการแสดงภาพผิด ๆ ที่เรามีได้ เช่นนั้นแล้วด้วยการฝึกฝน คุณย่อมสามารถตั้งจิตอยู่ในความตระหนักรู้เช่นนี้ได้ตลอดกาล ไม่มีทางที่ฉากนี้จะตั้งขึ้นมาใหม่ได้ ละครเรื่องฉันตัวน้อย ๆ ในหัวที่กังวลว่า “ฉันจะทำอย่างไรดี” และ “ฉันจะต้องสมบูรณ์แบบ” และ “ฉันจะต้องได้อย่างที่ต้องการ” ย่อมหยุดลง เมื่อเราเห็นแล้วว่าไม่เคยมีสิ่งใดหนุนการแสดงภาพมายาของเราเลย เมื่อนั้นจิตของเราย่อมไม่แสดงภาพสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป จากรากฐานนี้ เราย่อมไม่กระตุ้นแนวโน้มทั้งหลายอีกต่อไป เพราะไม่มีสิ่งใดไปกระตุ้นมัน จะไม่มี “ฉัน ฉัน ฉัน ฉันต้องมีความสุขและฉันจะไม่เป็นสุขไม่ได้!” อีกต่อไป
หากไม่มีสิ่งใดไปกระตุ้นแนวโน้มแล้ว คุณก็ไม่สามารถบอกได้ว่าคุณมีแนวโน้มอีกต่อไป สิ่งใดจะเป็นแนวโน้มสำหรับผลลัพธ์ได้ก็ต่อเมื่อมีผลลัพธ์ กล่าวอีกอย่าง คือ แนวคิดทั้งหมดทั้งมวลของแนวโน้มนี้เกี่ยวพันกับการมีผลลัพธ์ หากไม่มีผลลัพธ์แล้วก็ไม่อาจมีแนวโน้มที่ผลิตมัน
นี่จึงเป็นลักษณะที่เราสามารถก้าวออกจากการเวียนว่ายตายเกิดอย่างควบคุมไม่ได้ ถึงแม้ว่าจิตของเราจะเปี่ยมไปด้วยแนวโน้มต่าง ๆ จากเวลาที่ปราศจากจุดเริ่มต้น หากไม่มีสิ่งใดไปกระตุ้นแนวโน้มเหล่านั้น มันย่อมไม่ดำรงอยู่อีกต่อไป เมื่อเราคงอยู่กับความตระหนักรู้เรื่องความเป็นจริง เราย่อมไม่สั่งสมพฤติกรรมผลักดันที่จะก่อให้เกิดแนวโน้มเพิ่มเติมให้กับตัวเราเองอีก ฉะนั้นการเวียนว่ายตายเกิดอันควบคุมไม่ได้ และ พื้นฐานสำหรับอารมณ์ขึ้นลงของเราจึงหายไป สูญสิ้นไปตลอดกาล เช่นนี้คือการดับทุกข์ที่แท้จริงและเราจึงบรรลุการหลุดพ้น
หนทางที่แท้จริงแห่งจิตที่จะนำไปสู่การดับทุกข์ที่แท้จริง
ความจริงประการที่สี่มักได้รับการแปลว่า “หนทางที่แท้จริง” และหมายถึงสภาวะต่าง ๆ ทางจิต หรือความเข้าใจที่นำคุณไปสู่เป้าหมาย เหมือนกับหนทางนั่นเอง นี่เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องและแน่วแน่เรื่องความจริงสองประการ ยิ่งเราคุ้นเคยกับสิ่งนี้มากเท่าไร เพื่อที่เราจะมีสิ่งนี้อยู่ทุกชั่วขณะ มันย่อมกลายเป็นหนทางที่นำไปสู่การดับทุกข์ที่แท้จริงของการเวียนว่ายตายเกิดที่ควบคุมไม่ได้