ทบทวน
เราได้พิจารณาถึงสิ่งที่เราจัดการในการฝึกทัศนคติหรือการฝึกจิตใจ ซึ่งเป็นประสบการณ์ในชีวิตประจำวันของเราแล้ว เราใช้ชีวิตของเราและประสบกับทุกช่วงเวลาด้วยตัวเราเอง แม้ว่าเราจะเผยแพร่ออกอากาศทุกอย่างที่เราทำบนเฟซบุ๊ก (Facebook) และทวิตเตอร์ (Twitter) แต่ถึงกระนั้นเราเท่านั้นที่มีประสบการณ์กับมัน
ทุกวันนี้ ดูเหมือนว่าผู้คนจำนวนมากแทบจะเสพติดการส่งข้อความและการโพสต์ความรู้สึกและกิจกรรมต่าง ๆ ของตนเองลงบนเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ อะไรคือความแตกต่างระหว่างการอ่านเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ในแง่ชีวิตประจำวันของคนอื่นและชีวิตประจำวันของเราเอง? เห็นได้ชัดว่ามีระยะห่างระหว่างประสบการณ์ชีวิตของเราเองกับสิ่งที่คนอื่นกำลังประสบอยู่โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันถูกนำไปใส่ไว้ด้วยคำเพียงไม่กี่คำ
แม้ว่าเราจะสามารถเห็นอกเห็นใจผู้อื่นและสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของพวกเขาได้ แต่มันก็ยังไม่เหมือนกับความสุข หรือความทุกข์ หรือความรู้สึกที่เป็นกลางที่เรามีในแง่ของสิ่งที่เรากำลังประสบด้วยตัวเราเอง ในระดับพื้นฐานที่สุด นี่คือสิ่งที่เราต้องจัดการในชีวิตประจำวัน บางครั้ง เรารู้สึกมีความสุข บางครั้งก็ไม่มีความสุข บางครั้งก็เหมือนว่าเราจะไม่รู้สึกอะไรมากมายนัก แม้ว่าเราต้องการจะมีความสุขอยู่เสมอ แต่อารมณ์ของเราก็จะขึ้นๆ ลง ๆ ตลอดเวลา และดูเหมือนว่ามันก็จะไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ด้วย บ่อยครั้ง ที่ดูเหมือนว่าเราไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของเราได้มากนัก ด้วยการฝึกทัศนคติ เรากำลังพิจารณาว่าจะทำให้สถานการณ์แต่ละอย่างดีที่สุดได้อย่างไรขณะที่เราผ่านช่วงเวลาต่าง ๆ ของชีวิตและประสบกับสิ่งที่เกิดขึ้นและสิ่งที่เรากำลังทำอยู่
เราได้พิจารณาประเด็นหลักสองประเด็นที่สำคัญมากในแง่ของวิธีที่เราจัดการกับชีวิตแล้ว นั่นคือ เราขยายความเกินจริงถึงความสำคัญของสิ่งที่เรารู้สึกและความสำคัญของตัวเอง ตัวอย่างเช่น เราทำให้ความรู้สึกไม่มีความสุขเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งก็ยิ่งจะทำให้มันแย่ลงไปอีก เมื่อเรามีความสุข เราก็ไม่มั่นใจในความสุขนั้น ซึ่งก็จะทำลายมัน เมื่อเรารู้สึกเป็นกลาง เราจะสติแตกเพราะรู้สึกว่าเราจำเป็นต้องได้รับความบันเทิงตลอดเวลา เราไม่พอใจกับความรู้สึกสงบและสบายใจ แต่เราต้องการบางสิ่งบางอย่างให้เกิดขึ้นตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ หรือดนตรี หรืออะไรก็ตาม จำเป็นต้องมีการกระตุ้นบางอย่างอยู่ตลอดเวลา เพราะมันให้ความรู้สึกบางอย่างในชีวิต
ผมมีป้าที่มักจะนอนแล้วก็เปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้อยู่เสมอ อันที่จริง ป้าก็เปิดมันตลอด 24 ชั่วโมงต่อวันอยู่แล้ว ป้าบอกว่าเธอชอบมันเพราะถ้าเธอตื่นกลางดึกหน่อย ทีวีก็จะเปิดอยู่ เธอกลัวความเงียบจริง ๆ มันไม่ใช่แค่แปลกนิดหน่อยเท่านั้น แต่ผมยังพบว่ามันค่อนข้างน่าเศร้าด้วย
ไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับสิ่งที่ฉันรู้สึก
สิ่งแรกที่เราต้องเห็นเพื่อปรับปรุงทัศนคติของเราเกี่ยวกับการขึ้น ๆ ลง ๆ ของชีวิตคือ มันไม่มีอะไรพิเศษ ไม่มีอะไรพิเศษหรือแปลกประหลาดเกี่ยวกับความจริงที่ว่าบางครั้งเราไม่มีความสุข และบางครั้งเราก็รู้สึกดี บางครั้งสงบและเงียบ นี่เป็นเรื่องปกติจริง ๆ มันเหมือนกับคลื่นในมหาสมุทร บางครั้งคลื่นก็สูง บางครั้งคุณอยู่ในร่องน้ำระหว่างคลื่นเหล่านั้น และบางครั้งมหาสมุทรก็สงบเงียบอย่างสมบูรณ์ นั่นเป็นเพียงธรรมชาติของมหาสมุทรเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่ บางครั้งอาจมีพายุลูกใหญ่ที่มีคลื่นลูกใหญ่และปั่นป่วน แต่เมื่อคุณนึกถึงทั้งมหาสมุทรจากส่วนลึกของมันขึ้นไปสู่ผิวน้ำ ส่วนที่อยู่ลึกมันจะไม่ถูกรบกวนจริง ๆ ใช่ไหม? มันเป็นเพียงบางสิ่งที่ปรากฏบนพื้นผิวอันเป็นผลมาจากหลายสาเหตุและสถานการณ์ต่าง ๆ ก็เท่านั้น เช่น สภาพอากาศ เป็นต้น ไม่มีอะไรน่าประหลาดใจเกี่ยวกับเรื่องนี้
จิตใจของเราก็เหมือนมหาสมุทรนี้ มันเป็นประโยชน์ที่จะคิดเช่นนี้ ที่มองว่าบนพื้นผิวนั้นอาจมีคลื่นของความสุข ไม่มีความสุข อารมณ์นี้ อารมณ์นั้นขึ้น ๆ ลง ๆ แต่ในส่วนลึกนั้น เราไม่ได้ถูกรบกวนโดยสิ่งนั้นจริง ๆ นี่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ควรพยายามมีสภาพจิตใจที่สงบและมีความสุขมากขึ้น เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ดีกว่าพายุนั้น แต่เมื่อพายุแห่งอารมณ์และความรู้สึกที่รุนแรงมากเกิดขึ้น เราก็จะไม่ทำให้มันกลายเป็นพายุเฮอริเคนขนาดมหึมาไป เราแค่จัดการกับมันในแง่ของสิ่งที่มันเป็นจริง ๆ ก็เท่านั้น
หลายคนปฏิบัติตามวิธีการทางพระพุทธศาสนาและหลายปีที่ผ่านมาเห็นผลจริง ๆ คือ ไม่โกรธ ไม่อิจฉาริษยา ไม่ทำตัวแย่ ๆ ต่อผู้อื่น เป็นต้น หลังจากนั้นหลายปีต่อมา พวกเขาอาจมีตอนที่โกรธ หรือตกหลุมรัก และประสบกับความวุ่นวายทางอารมณ์ที่รุนแรง และทำให้พวกเขาท้อแท้ ที่มาของความท้อแท้นี้คือ พวกเขาลืมแนวทางทั้งหมดของ “ไม่มีอะไรพิเศษ” เพราะแนวโน้มและนิสัยของเรานั้นฝังแน่นอย่างยิ่ง แล้วก็ต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมากในการเอาชนะมัน เราสามารถดูแลมันได้ชั่วคราว แต่ถ้าเราไม่ลงลึกถึงสาเหตุว่าทำไมเราถึงโกรธและอื่น ๆ แล้ว มันก็จะเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งคราว ดังนั้น เมื่อมันเกิดขึ้นอีก เราจะต้องแน่ใจว่าเราคิดว่า “ไม่มีอะไรพิเศษ” เรายังไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตที่หลุดพ้น ดังนั้น แน่นอนว่า ความยึดติดและความโกรธก็จะเกิดขึ้นอีกครั้ง ถ้าเราทำมันให้เป็นเรื่องใหญ่นั่นก็คือเวลาที่เราติดอยู่ตรงนั้นไปต่อไม่ได้
ความคิดก็คือ ถ้าเราเข้าใจและเชื่อมั่นว่าไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับสิ่งที่เราประสบหรือรู้สึกแล้ว อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นแม้ว่ามันจะเป็นความเข้าใจเชิงลึกที่ไม่ธรรมดา คุณก็แค่จัดการกับมันเท่านั้น คุณเดินชนโต๊ะตอนมันมืดและมันก็ทำให้นิ้วเท้าคุณเจ็บ แล้วคุณจะคาดหวังอะไร? แน่นอนว่ามันจะเจ็บเมื่อคุณเดินเอานิ้วเท้าไปชนกับโต๊ะ เราก็ได้แค่ตรวจดูว่ากระดูกหักหรือเปล่า แต่จากนั้นคุณก็เดินต่อ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่ต้องกระโดดขึ้นลงแล้วคาดหวังให้แม่มาหอมแก้มแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น ดังนั้น เราจึงควรพยายามดำเนินชีวิตด้วยวิธีที่ง่ายและผ่อนคลายนี้ มันจะช่วยให้เราสงบไม่ว่าจะเกิดขึ้นอะไรขึ้นหรือเราจะรู้สึกอย่างไร
ไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับฉัน
เช่นเคยว่า ประเด็นที่สองก็คือ การขยายความเกินจริง คราวนี้ แทนที่จะเป็นความรู้สึกของเรา เราขยายความเกินจริงถึงความสำคัญของตัวเราเอง จริง ๆ แล้ว นี่เป็นหัวข้อหลักของการฝึกทัศนคติ (การฝึกจิตใจ) เพราะปัญหาและความยากลำบากของเรา ฯลฯ มาจากสิ่งหนึ่ง นั่นคือ การคำนึงถึงแต่ตนเอง ซึ่งหมายความว่าเราหมกมุ่นอยู่กับ “ฉัน” และมักจะจดจ่ออยู่แค่ที่ “ฉัน” และเราเป็นคนเดียวที่เราห่วงกังวลจริง ๆ มันมีแง่มุมของคตินิยมตนเองและการถือตัวเองว่าสำคัญเช่นเดียวกับความเห็นแก่ตัวและความหมกมุ่นในตนเอง มีหลายวิธีในการอธิบายทัศนคตินี้และสิ่งต่าง ๆ ที่มาพร้อมกับมัน
เมื่อเราทำให้ตัวเองเป็นอะไรที่พิเศษหรือคนที่พิเศษ นี่คือที่มาของปัญหาของเราจริง ๆ เราคิดว่า “ฉันมีความสำคัญมาก ดังนั้น สิ่งที่ฉันรู้สึกมันจึงสำคัญมากจริง ๆ” ถ้าเราห่วงกังวลเกี่ยวกับ “ฉัน ฉัน ฉัน” เป็นอย่างมาก แน่นอนว่าเราก็จะห่วงกังวลว่า “ฉัน” นี้จะมีความสุข หรือไม่มีความสุข หรือไม่รู้สึกอะไรเลย
ทำไมเราถึงแชร์ความรู้สึกของเราบนโซเชียลเน็ตเวิร์ก?
พระพุทธศาสนามักจะพูดถึงการหลีกเลี่ยงความสุดโต่งสองประการ พูดในอีกทางหนึ่งก็คือ มันดีกว่ามาก ๆ ที่จะเดินตามทางสายกลาง ความสุดโต่งอย่างหนึ่งคือ การทำให้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับ “ฉัน” เป็นเรื่องใหญ่ โดยรู้สึกว่ามันต้องแพร่ภาพออกอากาศไปทั่วโลกเพราะทุกคนใส่ใจจริง ๆ แต่แท้จริงแล้ว ไม่มีใครสนใจว่าฉันกินอะไรเป็นอาหารเช้าเมื่อเช้านี้ หรือว่าฉันชอบหรือไม่ชอบมัน แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ยังคงคิดว่ามันสำคัญมาก แล้วก็มีคนมาชอบโพสต์ของเรา แต่ทำไมเราถึงไปสนใจว่าโพสต์ที่ว่าเช้านี้ฉันกินอะไรมีคนกดไลค์เท่าไหร่? มันพิสูจน์อะไร? การพิจารณาถึงสิ่งนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจ
บางทีผู้คนอาจขาดการสนทนาในชีวิตจริงและแค่ต้องการที่จะแบ่งปันกับผู้อื่นก็เท่านั้น ใช่หรือไม่? ใช่ ผมคิดว่ามันมีความรู้สึกเหงาอยู่ แต่เป็นไปในทางที่มันยิ่งจะแยกคุณออกไป เพราะแทนที่จะมีปฏิสัมพันธ์ที่แท้จริงกับผู้อื่น คุณเพียงแค่ทำมันในสภาพแวดล้อมที่มีการป้องกันมากขึ้นบนคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือของคุณก็เท่านั้น
สิ่งที่ผมอยากจะแนะนำให้เราพิจารณากันจริง ๆ คือ ทำไมเราถึงรู้สึกว่าเราต้องแชร์ความรู้สึกของเราว่าเรารู้สึกอย่างไรด้วย? ประการหนึ่ง เป็นเพราะเราคิดว่าทุกคนจะสนใจและมันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนอื่นที่จะรู้ว่าเรากินอะไรเป็นอาหารเช้าและรู้ว่าเราชอบหรือไม่ชอบมัน แน่นอนว่า นี่เป็นตัวอย่างที่ไร้สาระ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้ามีคนถูกใจโพสต์ไม่มากพอ เราก็จะรู้สึกแย่เช่นกัน เราทำให้มันสำคัญมากเกินไป นั่นคือ “ฉัน” ฉันกำลังทำอะไรอยู่ รู้สึกอย่างไร และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่คนอื่นคิดเกี่ยวกับมัน แทนที่จะมั่นใจในตัวเองและดำเนินชีวิตต่อไป ดูเหมือนเราต้องการแพร่ภาพออกอากาศมันไปทั่วทั้งโลก เกือบจะคิดเลยว่าเรามีความสำคัญมากจนพวกเขาจะละทิ้งทุกอย่างเพื่อมาอ่านข้อความของเรา นี่ไม่ใช่การขยายความเกินจริงถึงความสำคัญของเรางั้นหรือ? และยิ่งไปกว่านั้น เรารู้สึกไม่มั่นใจ ซึ่งไม่ใช่สภาวะจิตใจที่สงบสุขนัก แล้วเราก็จะคอยตรวจสอบผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะไม่พลาดโอกาสบางอย่างไป
อย่างไรก็ตาม ความสุดโต่งทั้งสองอย่างที่เราต้องหลีกเลี่ยงคือ การคิดว่าเราเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดหรือคิดว่าโดยพื้นฐานแล้วเราไม่มีอะไรเลย ไม่ว่าทุกคนจะต้องรู้ว่าเรารู้สึกอย่างไร ไม่ว่าพวกเขาจะสนใจหรือไม่ หรือเราเพิกเฉยต่อความรู้สึกของเราโดยสิ้นเชิง
แน่นอนว่า จะมีบางสถานการณ์ที่การสื่อสารความรู้สึกของเราเป็นสิ่งสำคัญ เช่น เรากำลังคบหากับใครสักคนและรู้สึกไม่มีความสุขในสิ่งนั้น มันก็เป็นการดีที่จะบอกคนอื่น ๆ ไม่ใช่แค่เก็บไว้ข้างในเวลาที่จำเป็นต้องมีคนรู้ว่าเรารู้สึกอย่างไร เช่น “สิ่งที่คุณพูดทำร้ายฉันจริง ๆ” ฯลฯ แต่เราสามารถทำได้ในทางที่สมดุลโดยที่เราไม่พูดเกินจริงเกินไป แต่ก็ไม่ปฏิเสธเช่นกัน แน่นอนว่า ถ้าเรากำลังพูดถึงความสัมพันธ์แล้ว มีคนสองคน มันจึงสำคัญพอ ๆ กัน (และก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่เช่นกัน) ว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร
เมื่อเราพูดถึงการฝึกทัศนคติ มันไม่ใช่แค่ทัศนคติของฉันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทัศนคติของทุกคนที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์นั้นด้วย กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มุมมองของฉันไม่ใช่เป็นเพียงมุมมองเดียว ถูกต้องไหม? นั่นเป็นหนึ่งในหลักการสำคัญที่ใช้ในครอบครัวบำบัด ซึ่งสมาชิกแต่ละคนจะได้เล่าถึงสิ่งที่เขาหรือเธอมีประสบการณ์อยู่ที่บ้าน ดังนั้น ถ้าพ่อแม่ทะเลาะกัน พวกเขาก็จะเรียนรู้จากลูกว่ามันจะส่งผลต่อเขาหรือเธออย่างไร ไม่เช่นนั้น พวกเขาก็อาจไม่รู้ มุมมองของพวกเขาเองไม่ใช่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เกิดขึ้นในการจัดองค์ประกอบนี้ภายในครอบครัว
วิธีเอาชนะการคำนึงถึงแต่ตนเอง
จุดเน้นหลักในการฝึกทัศนคติหรือการฝึกจิตใจแบบดั้งเดิมจึงอยู่ที่การเอาชนะการหมกมุ่นในตนเองนี้ ซึ่งเรามักจะเรียกว่า “การคำนึงถึงแต่ตนเอง” และการเปิดตัวเราเองให้คิดถึงเกี่ยวกับผู้อื่น ก่อนหน้านี้เราได้พิจารณาถึงวิธีการบางอย่างที่สามารถทำได้ เช่น จินตนาการว่าตัวเราอยู่ด้านหนึ่งและคนอื่น ๆ อยู่อีกด้านหนึ่ง แล้วคิดว่า “ใครสำคัญกว่ากัน? ฉันในฐานะบุคคลหรือคนอื่น ๆ รวมกัน?” และเราก็ได้ใช้ตัวอย่างการจราจรว่า “ฉันสำคัญกว่าคนอื่นที่ติดอยู่ในการจราจรนั้น ซึ่งฉันต้องไปถึงที่ที่ฉันจะไปและฉันไม่สนใจคนอื่นทั้งหมดหรือไม่?”
สิ่งสำคัญคือ เมื่อเราเปิดใจคิดถึงทุกคนที่ติดอยู่ในการจราจรนั้น ซึ่งนั่นตั้งอยู่บนความเป็นจริง ความเป็นจริงก็คือ ทุกคนติดอยู่ในการจราจรนั้น ไม่ใช่เราคนเดียวที่ติดอยู่ ถูกต้องไหม? ดังนั้น เมื่อเราพูดถึงการปรับปรุงทัศนคติของเรา เราจึงกำลังทำมันบนพื้นฐานของความเป็นจริง เราเห็นสิ่งที่เป็นจริงและทำให้ทัศนคติของเราสอดคล้องกับสิ่งนั้น เพื่อนคนหนึ่งของผมซึ่งเป็นครูสอนพระพุทธศานาพูดว่า คุณสามารถสรุปแนวทางพระพุทธศาสนาได้ด้วยคำ ๆ เดียว นั่นคือ “ลัทธินิยมความจริง”
เนื่องจากวิธีการนำเสนอของพระพุทธศาสนาในบางครั้ง ผู้คนมักคิดว่าสิ่งที่เกี่ยวข้องทั้งหมดกับมันคือการสร้างมโนภาพและพิธีกรรมที่น่าอัศจรรย์ คล้ายกับพระพุทธศาสนาในดิสนีย์แลนด์ แต่นั่นไม่ใช่แรงผลักดันหลักของพระพุทธศาสนาเลย สิ่งเหล่านั้นมีอยู่ ไม่ปฏิเสธ แต่มันเป็นวิธีการเพื่อให้สอดคล้องกับความจริงมากขึ้น เมื่อคุณใช้วิธีเหล่านี้ คุณจะเข้าใจความแตกต่างระหว่างความเป็นจริงกับจินตนาการ และพลังแห่งจินตนาการ
เราเป็นมนุษย์ แล้วอะไรที่ทำให้เราแตกต่างจากสัตว์? มีหลายอย่างที่เราสามารถชี้ให้เห็นได้ แต่สิ่งสำคัญคือ เรามีพลังแห่งสติปัญญาและจินตนาการ เราสามารถเรียนรู้การใช้ทั้งสองสิ่งนี้ได้ ตัวอย่างก็น่าจะเป็นว่า เมื่อคุณมีความต้องการทางเพศอย่างมากกับใครบางคน สิ่งนี้ค่อนข้างรบกวนจิตใจเรา เราก็สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ได้โดยใช้ทั้งสติปัญญาและจินตนาการของเรา
อารยเทวะ (Aryadeva) ปรมาจารย์พุทธศาสนาชาวอินเดียผู้ยิ่งใหญ่ได้เขียนไว้ใน กวีนิพนธ์ 400 บท (400-Verse Treatise) ของท่าน (ภาษาสันสกฤตคือ Catuhshataka-shastra-karika) (III.4)
คน ๆ หนึ่งอาจเห็นว่าอีกคนหนึ่งมีเสน่ห์ดึงดูดใจ แล้วเกิดความหลงใหลและชื่นชมยินดีในความงามของคน ๆ นั้นได้ แต่เนื่องจากสิ่งนี้เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นแม้กระทั่งในหมู่สุนัขและอะไรที่คล้ายกัน โอ้ เจ้าคนโง่ ทำไมเจ้าถึงยึดติดกับคู่ของเจ้านัก?
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ถ้าสุนัขหรือหมูพบว่าคู่นอนของมันมีเสน่ห์น่าดึงดูดใจ อะไรที่ทำให้คู่ของเรามีความพิเศษมากงั้นหรือ? คุณลักษณะของความดึงดูดใจทางเพศมาจากจิตใจของแต่ละคนโดยสิ้นเชิง มันไม่ใช่อะไรบางอย่างที่มีอยู่ในความน่าดึงดูดใจนั้น ไม่อย่างนั้น หมูมันก็คงจะพบว่าคู่ของเราสวยและมีเสน่ห์น่าดึงดูดใจจริง ๆ และเราก็ควรจะพบว่าคู่ของหมูนั้นมีเสน่ห์น่าดึงดูดใจเช่นกัน ในทางสติปัญญาแล้ว สิ่งนี้ถูกต้องสมบูรณ์ ด้วยจินตนาการของเรา เราจินตนาการถึงหมูตัวดังกล่าว และนั่นก็ช่วยทำให้มันสมเหตุสมผลด้วย ดังนั้น จึงไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับคนที่เรามองว่ามีเสน่ห์น่าดึงดูดใจ ฉันพบว่าคนนี้มีเสน่ห์น่าดึงดูดใจ คนนี้พบว่าคนนั้นมีเสน่ห์น่าดึงดูดใจ มันเหมือนกับตอนที่อยู่ในร้านอาหาร คนหนึ่งต้องการสิ่งนี้จากเมนู คนหนึ่งต้องการสิ่งนั้น แล้วไง? ไม่มีอะไรพิเศษ
เมื่อคุณสามารถขยายความคิดแบบนี้ออกไปได้ มันก็จะกลายเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ทำไมทุกคนควรจะชอบทำในแบบที่ฉันทำ? แน่นอนว่าการคำนึงถึงแต่ตนเองอยู่เบื้องหลังความคิดนี้ นั่นคือ “วิธีที่ฉันทำนั้นถูกต้อง” จากนั้น เราก็จะรู้สึกรำคาญเมื่อมีคนจัดโต๊ะทำงานหรือโฟลเดอร์คอมพิวเตอร์ในลักษณะที่แตกต่างออกไปว่า “นั่นมันผิดมาก!” มันเป็นการดีที่จะยอมรับว่ามีหลายวิธีที่สามารถทำได้ ก็เช่นเดียวกับที่มีสิ่งที่เป็นแรงดึงดูดใจทางเพศที่แตกต่างกันมากมาย
เมื่อเราอ่านหรือได้ยินเกี่ยวกับการฝึกทัศนคตินี้ซึ่งจุดเน้นหลักคือ การหยุดการคำนึงถึงแต่ตนเองและเริ่มคิดถึงผู้อื่น เราไม่จำเป็นต้องคิดอย่างเต็มที่ว่าเรากำลังทำงานเพื่อประโยชน์ของทุก ๆ คน ในจักรวาล แน่นอนว่า เราสามารถทำได้เหมือนที่เราพูดก่อนหน้านี้ว่า “ฉันเป็นหนึ่งใน 7 พันล้านคนบนโลกใบนี้ พร้อมกับสัตว์และแมลงอีกนับไม่ถ้วน ทุกคนต่างรู้สึกมีความสุข ไม่มีความสุข หรือเป็นกลาง ดังนั้น จึงไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับฉัน” เรานึกถึงสิ่งที่เรารู้สึกในบริบทของทุกคน แล้วจิตใจของเราก็จะเปิดกว้างมากขึ้น แทนที่จะเป็น “ฉัน ฉัน ฉัน” ตามปกติ มันเหมือนกับภาวะโลกร้อน คุณต้องพิจารณาว่ามันจะส่งผลกระทบต่อทุกคนอย่างไร เพราะมันไม่ได้แค่เกี่ยวข้องกับคน ๆ เดียวเท่านั้น
ถึงกระนั้น เราก็ไม่ต้องไปไกลถึงขนาดนั้นเพื่อดำเนินการเปลี่ยนแปลงที่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง นั่นคือ จากการคำนึงถึงแต่ตนเองไปเป็นการคำนึงถึงผู้อื่น แต่เราสามารถทำได้ในระดับที่พอประมาณมากขึ้นได้เช่นกัน โดยพิจารณาจากสภาพแวดล้อมที่ใกล้ ๆ ของเราเอง เช่น “ฉันไม่ใช่คนเดียวในความสัมพันธ์นี้” หรือ “ฉันไม่ใช่คน ๆ เดียวในครอบครัวนี้” ด้วยวิธีนี้เราจะค่อย ๆ ห่วงกังวลกลุ่มใหญ่มากขึ้น บางทีเราอาจยังไม่สามารถรวมทุกคนในจักรวาลได้ แต่เราสามารถเริ่มต้นในระดับนี้ได้ ไม่ใช่แค่ในระดับผิวเผินของการกดไลค์บนเฟซบุ๊กเท่านั้น แต่เป็นการพบปะส่วนตัวกับผู้อื่น
ใช่ สิ่งนี้มีจำกัด เพราะเราอาจเข้าถึงผู้คนจำนวนมากบนโซเชียลเน็ตเวิร์กได้มากกว่าที่เราจะทำได้ในชีวิตประจำวันของเรา แต่เมื่อโซเชียลเน็ตเวิร์กเสมือนเข้ามาแทนที่การติดต่อระหว่างบุคคลและความสัมพันธ์จริงแล้ว นั่นคือตอนที่ปัญหาจะเริ่มต้นขึ้น คุณอาจอยู่กับใครสักคนแต่ไม่ได้อยู่ที่นั่นจริง ๆ เพราะคุณกำลังส่งข้อความหาคนอื่นอยู่ มันเป็นปรากฏการณ์ทั่วไปในตอนนี้ ไม่ใช่แค่ในหมู่วัยรุ่นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเด็กที่บอกว่ารู้สึกถูกทอดทิ้งมากเพราะพ่อแม่ของพวกเขามักจะส่งข้อความอยู่ตลอดเวลาและไม่สนใจพวกเขา
วิธีต่าง ๆ ในการฝึกปฏิบัติจิตใจ
มีหลายระดับที่เราสามารถฝึกปฏิบัติจิตใจได้ ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติที่แปลกใหม่ ทั้งหมดที่เราต้องการคือ การใช้สติปัญญาของเราเองในแง่ของสิ่งที่เราพบว่าเป็นจริง สิ่งที่เป็นจริงคือ เราไม่ใช่บุคคลเพียงคนเดียวในจักรวาล และเราไม่ใช่คนที่สำคัญที่สุดในจักรวาล แต่แน่นอนว่าเราก็ไม่ใช่ไม่ได้เป็นอะไรเลยด้วย เราเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตมากมายในจักรวาล เราเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งนี้ เราสามารถใช้จินตนาการในแง่ของความเห็นอกเห็นใจ พยายามทำความเข้าใจสถานการณ์และความรู้สึกของผู้อื่น และวิธีที่พวกเขาประสบกับสิ่งต่าง ๆ
สติปัญญาและจินตนาการของเราเป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมสองอย่างที่เราสามารถใช้ได้ เราฝึกฝนสติปัญญาของเราด้วยเหตุผล และเราฝึกฝนจินตนาการของเราด้วยสิ่งต่าง ๆ เช่น การสร้างมโนภาพ ไม่ใช่เพื่อให้กลายมาเป็นเหมือนคอมพิวเตอร์ที่มีสติปัญญาของเรา หรือคว้าเหรียญทองจากการเห็นภาพรายละเอียดอันน่าอัศจรรย์ทุกชนิด แต่เพื่อเอาชนะความยากลำบากและปัญหาในชีวิตของเราเอง ในขอบเขตที่กว้างขึ้น เรายังทำสิ่งนี้เพื่อที่จะช่วยให้ผู้อื่นทำเช่นเดียวกันได้ มันเป็นเรื่องดีที่จะมีขอบเขตที่กว้างและกว้างมาก ๆ ซึ่งเราจะสามารถเข้าใจและเห็นอกเห็นใจทุกคนในแง่ของทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขา สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาในปัจจุบัน และสิ่งที่อาจเกิดขึ้นกับพวกเขาในอนาคต นั่นเกี่ยวข้องกับสติปัญญาและจินตนาการที่ยอดเยี่ยม!
เราสามารถนำสิ่งนี้มาสู่ชีวิตประจำวันของเราได้หลายวิธี ระดับที่ง่ายที่สุดคือ การมีความรู้สึก “ไม่มีอะไรพิเศษ” ซึ่งกำลังทำความเข้าใจว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะดี หรือไม่ดี หรือเป็นกลาง มันก็ไม่มีอะไรพิเศษเป็นพิเศษ ตลอดประวัติศาสตร์ อย่างน้อยก็ตั้งแต่สมัยกรีกโบราณจนถึงปัจจุบัน ทุกคนเคยพูดว่า “นี่เป็นช่วงเวลาที่แย่ที่สุด คนรุ่นใหม่เสื่อมลง เลวร้าย และทุจริตจริง ๆ” ถ้าคุณพิจารณาที่วรรณกรรมเมื่อเวลาผ่านไป ทุกคนก็พูดแบบนี้ แต่มันไม่จริงเลย ไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับฉัน และไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับสิ่งที่ฉันรู้สึก มันก็แค่ไหลไปเรื่อย ๆ และขับเคลื่อนด้วยสาเหตุและเงื่อนไขมากมายที่มีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน เราเพียงแค่ต้องจัดการกับมันในทางที่เป็นประโยชน์มากที่สุด โดยใช้สติปัญญาและจินตนาการของเราในการเห็นอกเห็นใจตัวเราเองและผู้อื่นก็เท่านั้น
บทสรุป
เราแต่ละคนเป็นเพียงแค่หนึ่งในกว่า 7 พันล้านคนบนโลกใบนี้ ไม่มีพวกเราคนใดเลยที่แตกต่างจากคนอื่น เมื่อเราพยายามเอาชนะทัศนคติการคำนึงถึงแต่ตนเอง เราจะตั้งอยู่บนความเป็นจริงมากขึ้นโดยอัตโนมัติ นั่นคือ เราเห็นว่าเราทั้งหมดอยู่ร่วมกันอย่างไร แทนที่จะเห็นว่าทุกคนต่อต้านเรา ไม่มีอะไรพิเศษเป็นพิเศษเกี่ยวกับเรา นั่นคือ การตระหนักรู้ที่นำมาซึ่งการปรับปรุงอย่างมากมายในด้านคุณภาพของความผาสุกทางอารมณ์และการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นของเรา